การขายของได้เพียงครั้งเดียวแบบ One-Time-Sell แค่นี้ก็พอแล้ว !

เรื่องนี้ผมว่าเป็นเรื่องที่แปลกเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ และมันก็จะขัดกับความคิดพื้นฐานที่เราๆท่านๆรู้กันว่า สินค้าต้องมีคุณภาพ เพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำ เพราะ ต้นทุนของการหาลูกค้าใหม่จะสูงกว่าการหาลูกค้าเก่าเป็นอันมาก ลองคิดให้ดีๆ สินค้าก็มีตั้งเยอะแยะ ที่มีข้อจำกัดว่าเราจะซื้อหาได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้วเรื่องของการที่ลูกค้าจะมาซื้อซ้ำ หรือ จะทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อให้ลูกค้ามาซื้อซ้ำนั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่จะต้องคิดกันเลยก็ว่าได้ สิ่งที่ต้องคิดและต้องทำก็คือ ขอให้มีการซื้อขายเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ นี่น่ะหละ แนวคิดการขายของแบบ “ขอขายหนเดียวพอ” (อาการแบบขายแล้วทิ้งเหมือนกับฟันแล้วทิ้ง ตีหัวเข้าบ้านอะไรประมาณนั้นน่ะครับ) หรือ ONE-TIME-SELL CONCEPT แนวคิด OTS แบบนี้อยู่บนพื้นฐานว่า ลูกค้าหน้าใหม่หาได้ง่ายหรือลูกค้ามีอยู่ดาษดื่นเหลือเฟือ และ สินค้าไม่ค่อยจะได้มีการซื้อซ้ำ หรือซื้อซ้ำได้ก็โอกาสน้อยเอามากๆ หรือแม้กระทั่งคุณเป็นช่องทางเดียวของการขายสินค้าหรือบริการประเภทนั้นแนวแบบ monopoly ก็ได้เช่นเดียวกัน เอาล่ะครับ สินค้าแนวนี้ก็เช่นสินค้าขายเป็นสินค้าที่ระลึกตามสถานที่ท่องเที่ยว สินค้าที่หน้าร้านคุณเจอได้แค่ครั้งเดียวครับ สินค้าใดๆที่ไม่รู้แหล่งที่มาที่ไปแน่ชัด ไม่มีแบรนด์และตราสัญลักษณ์ใดๆให้จดจำทั้งนั้น และสินค้าไร้สาระที่ไม่ซื้อก็ได้ เอาราคาเข้าล่อซื้อ…

ลักษณะการคิดและการจัดการกับ " บัตรสนเท่ห์ " ในองค์กร

บัตรสนเท่ห์ คือ จดหมายใดๆที่มีการส่งเพื่อเป็นฟ้องว่าคนคนหนึ่งกระทำการไม่ดีในหน้าที่หรือคิดกระทำการไม่ดีในหน้าที่ และจะเป็นผลเสียต่อองค์กร หรือ บริษัท หรือแม้กระทั่งภาคส่วนหรือแผนกย่อยภายในองค์กร และอาจจะก่อให้เกิดเรื่องเสียหายแก่องค์กรได้ โดยจะมีบุคคลที่โดนกล่าวอ้างไว้ในเนื้อจดหมาย และ คนที่ส่งจดหมายมาไม่ออกนามไว้ในจดหมายโดยตรง หรือ อาจจะมีการออกนามแต่อาจจะเป็นชื่อปลอมได้เป็นต้น หรือ อ้างตนว่าเป็นใครคนใดคนหนึ่งส่งจดหมายนั้นเข้ามา ยังผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจหรือส่วนบริหารโดยตรง เมื่อได้รับบัตรสนเท่ห์จะต้องพิจารณาว่า เนื้อความมีการมุ่งเป้าหมายกล่าวโทษไปยัง “ใคร” เป็นหลัก เช่น ถ้าหากว่านาย A เป็นคนที่ถูกกล่าวโทษ หรือ อ่านแล้วเนื้อความระบุได้ว่า เมื่ออ่านแบบปกติแล้ว ใครจะเป็นผู้ถูกเพ่งเล่งว่าเป็นผู้ถูกกล่าวหา เป็นหลักให้คิดว่า บุคคลผู้นั้นบริสุทธิ์ไว้ก่อน แล้วคิดต่อบริบทโดยรอบต่อไปนี้  กรณีตัวอย่างนี้กำหนดเป็น นาย A แนวทางการพิจารณาคิดและตรรกะเบื้องต้น การอ่านจะต้องไม่พิจารณาว่า เนื้อความนั้นเป็นเนื้อความเชิงบวกหรือเชิงลบ เพราะผู้เขียนสามารถทำตัวเหมือนกับเป็นการแจ้งเตือน บริษัทหรือผู้มีอำนาจในการจัดการบุคคลได้ หรือ…

สังเกตกันมั้ยว่าเมื่อเราติดไฟแดง เราจะเอามือถือออกมาเล่น !

  ผมเพิ่งสังเกตตัวผมเองแล้วก็ไปถามเพื่อนๆผมไม่กี่คนน่ะครับ ว่า รู้สึกเหรอป่าวครับว่า ถ้าหากว่าเราไม่ได้ต้องนัดหลายไปไหนด้วยเวลาที่ต้องแน่นอนหรือมีเวลามาบีบบังคับกันมากๆ แล้วเราเดินทางอยู่ในรถ เมื่อรถติดไฟแดงหรือว่ารถติดจากสภาพจราจร เราจะรู้สึกเดือดร้อนน้อยลงไปกว่าแต่ก่อนมากมายนัก เหตุผลก็ไม่ยากน่ะครับ เพราะว่า เมื่อรถติดเราจะเอามือถือออกมา ไม่ว่าจะเป็น iPhone หรือว่า BB หรือว่าพวก Andriod phone ทั้งหลายแหล่ ควักมันออกด้วยมือข้างทีว่างๆไม่ได้จับพวงมาลัย หรือว่ากรณีที่เป็นรถติดไฟแดงนี่ ก็ปรับเกียร์เป็น Gear N หรือว่าเหยียบเบรคเอาไว้แล้วก็เอามือถืออกมาเล่น ทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อให้เวลามันเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว มันก็จะทำให้เราไม่ได้รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนตอนที่เราติดไฟแดงยังไงล่ะครับ เมื่อเรามีสมาธิกับเรื่องอื่นๆที่ไม่ได้เป็นเรื่องของตัวเลขนับเวลาไฟแดง ทำให้เวลาไฟแดงนั้นผ่านไปเร็วมากๆ เพราะ เราทำกิจกรรมอื่น ที่แต่ก่อนที่จะมีอุปกรณ์สื่อสารพวกนี้ (และ internet มือถือด้วยน่ะครับ) ก็จะทำอะไรไม่ได้มากนัก เราก็เลยรู้สึกว่า เมื่อติดไฟแดงเราเหมือนกับโดนกักกันความคิดความอ่าน และ กักกันสภาพกายภาพให้เราอยู่นิ่งๆไปไหนทำอะไรไม่ได้…

คิดลบและคิดบวก ฝึกคิดสลับไปมาเพื่อให้ได้ภาพกว้างขึ้นและการตัดสินใจที่ฉลาดกว่าเดิม

หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่า “ทำไมคุณเป็นคิดลบแบบนี้?” หรือไม่ก็ “ทำไมคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีเกินไป” ซึ่งทั้งสองกรณีที่ได้ยินบ่อยๆจะเป็นลักษณะของคำตำหนิจากคนอื่นที่มองการคิดผูกติดไว้กับคน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วผมอยากจะบอกว่า คนเราจะคิดลบหรือคิดบวกได้นั้นมันมีเหตุผลหลักจากประสบการณ์ หรือ สิ่งที่โดนปลูกฝังหล่อหลอมมุมมองความคิดของคนคนนั้นออกมา ถ้าหากว่าคุณไม่ได้เจอโกงมาก่อน คุณก็จะคิดว่าคนอื่นน่าจะมีไม่โกงคุณ แต่ในทางกลับกันถ้าหากว่าคุณเจอโกงมาก่อน คุณก็จะมีแนวโน้มเฝ้าระวังว่าคนอื่นจะมาโกงคุณในเรื่องเดียวกันนั้นได้ ทั้งๆที่คนสองคนที่คิดสองแบบ เจอกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วก็ตามที แต่อย่างไรก็ดี วิธีการที่ดีทีสุด สำหรับการคิดบวกและคิดลบนั้น มุมมองที่คุณเองต้องเข้าใจเสียใหม่ ซึ่งผมก็เพิ่งเข้าใจได้ไม่นานนี้ว่า เราสามารถเลือกโหมดการคิดเพื่อเห็นสถานการณ์ และ ปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ทั้งการคิดบวกและคิดลบ ให้เหมาะสมกับความต้องการ หรือ เป้าหมายของกิจกรรมนั้นได้ ผมต้องบอกแบบนี้ดีกว่า ฐานความคิดของผมจะเป็นคนคิดบวก และจะมองคนที่คิดลบ หรือ คิดระแวดระวังไปหมดว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อไร้สาระ หาเรื่องหาราวที่มีประโยชน์กว่านี้ทำไม่ได้แล้วหรือไร ถึงได้มองโลกตันไปซะทั้งหมดอย่างงั้น ซึ่งผมต้องบอกคนที่มองโลกในแง่ดีเกือบตลอดเวลาว่า การมองอย่างงั้นทั้งหมดไม่น่าจะถูกต้องเสียทีเดียว แต่ สิ่งทีน่าจะต้องปรับมุมมองในเรื่องเดียวกันระหว่างเรื่องแนวคิดลบ และ ความคิดบวก เราเป็นคนเลือกเอง…

เหตุผลในการ "ชิมิ" คำนี้มีความหมายเป็นนัย

  เนื่องจากรถติดอยู่บนท้องถนน แล้วก็ผมก็คุยกับเพื่อนใน msn คนหนึ่งเค้าก็พิมพ์ตอบไปตอบมาแล้วก็ลงท้ายมาด้วยคำว่า “ชิมิ” ผมว่ามันมีเหตุมีผลว่าทำไมคำนี้ถึงได้เป็นที่นิยม(กันพักใหญ่ๆแล้ว) และก็คิดว่าน่าจะเป็นคำหนึ่งที่เป็นคำถาวรใช้กันโดยทั่วไปในการ chat ไปอีกนานแสนนานด้วยเหตุผลต่างๆนาๆมากมาย “ชิมิ” มีความหมายของเนื้อคำเป็นเอกลักษณ์ คำว่าชิมิแท้ที่จริงอย่างที่เราๆท่านๆก็รู้อยู่ว่ามันแปลว่า ใช่มั้ย นั่นเอง มันจะใช้ในนัยที่ไม่ต้องการคำตอบมากกว่า คำว่าใช่มั้ยตรงๆ (แต่ว่าคำว่าใช่มั้ย มันจะมีได้ทั้งความหมายของสิ่งที่ต้องการคำตอบ และ กรณีที่ไม่ต้องการคำตอบด้วยเช่นเดียวกัน) และ ที่แปลกกว่านั้นคือ คำว่า ชิมิ จะไม่มีอะไรต่อท้ายได้อีกต่อไปต้องเป็น คำที่เป็นคำท้ายสุดเท่านั้น ลองสังเกตดูซิครับ เราจะไม่เคยเห็นคนพิมพ์ว่า ชิมิล่ะ หรือ ชิมิครับ หรือ ชิมิเธอ เลยแม้แต่ครั้งเดียว “ชิมิ” สะดวกแก่การพิมพ์มากกว่า ใช่มั้ย ถ้าหากว่าคุณเป็นคนพิมพ์เพื่อสื่อสารผ่าน mobile…

ฉุกคิดสักนิดปรับปรุงความเข้ากันได้ของหน้าร้านจริงและหน้าร้าน online ให้ไปทางเดียวกัน

  เนื่องจากผมมีดูแลเว็ปอยู่แห่งหนึ่งที่โดยมีวัตถุประสงค์ของ website เพื่อทำให้เกิดโอกาสการขายผ่านทาง online หรือผ่านทางหน้าร้านจริงให้มากที่สุด โดยการทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกค้าที่หลงเข้ามาผ่านการ promote ผ่านทาง website แล้วสุดท้ายมีการเดินทางแวะเวียนมาที่ร้านค้า offline (หรือร้านค้าจริงๆ) ทั้งนี้วัตถุประสงค์ที่ว่า "เพื่อให้คนมาหน้าร้านนั้น มี assumption อยู่อย่างหนึ่งว่า สิ่งของนั้นๆน่าจะต้องเห็นด้วยตา หรือ ต้องมีการสัมผัสถึงจะมีการสั่งซื้อได้อย่างมีจำนวน" อย่างว่าที่ผมบอกว่าเป็นสมมุติฐานแบบนี้ไว้ก่อนเพราะว่ายังไม่ได้ออกแรงเพื่อที่จะแกะหรือทดสอบแก้ปมว่าสินค้านั้นๆต้องให้คนมาที่ร้านเพื่อสัมผัสจริงๆหรือไม่ หรือแท้ที่จริงแล้ว จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไรถ้าหากว่าการสัมผัส หรือเห็นด้วยตาจริงๆนั้นเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งก็มีแนวทางที่ผมเห็นเป็นตัวอย่างแล้ว เช่น ร้านค้าที่ขายรองเท้า จำเป็นต้องส่งรองเท้าให้มากคู่ไปยังลูกค้าแทนที่จะให้ลูกค้าเดินทางมาหาที่ร้านค้า โดยมีการ promote การขายในลักษณะของการส่ง shipping Free แบบสองทาง คือ ค่าส่งกลับนั้นก็ถือว่า ฟรีด้วยเพราะว่า ถ้าหากว่าคุณเป็นร้านรองเท้าแล้วมีหน้าร้านไกลออกไป โดยไม่อยากจะต้องให้ลูกค้าคุณเดินทางมาแล้วต้องลองใส่ดูอีกตะหาก…

ราคาโดนัทผี มูลค่าของสินค้าที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ?

ครั้งก่อนถ้าหากว่าอ่านย้อนไปผมเคยคุยให้ฟังเรื่องของโดนัทที่เป็นประวัติศาสตร์เรื่องของความยาวในการต่อคิว และ เวลาที่จะต้องใช้ไปเพื่อกาต่อคิวเพื่อที่จะได้ซื้อเอาไปให้คนอื่น หรือ เอาไปให้คนอื่นที่ไม่อยากต่อแถวกิน ราคาถ้าหากว่าเป็นโดนัทฉาบน้ำตาลธรรมดาจะมีราคาขายหน้าร้านที่แน่นอนไม่ได้ผันผวนเหมือนกับตลาดหุ้นแต่ประการใด แต่โดนัทผี ทำให้ราคาแกว่งได้ด้วยราคาตลาดที่มีการประเมินมูลค่าอื่นๆผนวกเข้าไปด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ ! มีกรณีศึกษา(ส่วนตัว)อยู่กรณีหนึ่งว่า ราคาโดนัทผีสักเท่าไหร่ที่คนคนหนึ่งจะซื้อและมีวิธีการคิดเพื่อที่จะซื้อหรือไม่ซื้อโดนัทผีนั้นอย่างไร ? เหตุการณ์ก็ดำเนินการไปแบบนี้ครับ เมื่อเจอคนขายโดนัทผี เราก็จะตรงเข้าไปแล้วก็ถามว่าขายเท่าไหร่ สิ่งที่ได้รับคำตอบกลับมาก็คือ 400 บาทฟังดูเหมือนว่าเป็นราคากล่องโดนัทที่แพงไม่ใช่เล่นถ้าหากว่าลองคิดเป็นชิ้นๆดูแล้วจะตกที่ชิ้นละ 400/12 = 33.33 บาท เมื่อเทียบกับจ้าวอื่นๆแล้วแม้ว่าจะซื้อเป็น pack แบบนี้แทนที่จะถูกกว่าโดนัทขายปลีกยี่ห้ออื่นๆแต่ก็ยังจะแพงกว่าอยู่ดี (อย่างว่าน่ะครับ นี่มันราคาโดนัทผีนี่ครับ) แต่เรื่องราวยังไม่ได้จบแต่ว่าเมื่อเราได้รู้ราคาแล้ว กระบวนการคิดเพื่อประเมินว่าราคานี้คุ้มค่าในการซื้อหรือไม่ ก็จะเริ่มขึ้นต่อไป โดยพนักงานขายโดนัทผีก็ให้ข้อมูล(หลอก)เพื่อเติมว่า เนี่ยะเค้าขายกล่องนี้ได้ค่าดำเนินการทั้งหมดก็แค่ 50 บาทเท่านั้น เราก็จะมาคิดต่อน่ะครับว่า นั้นก็แปลว่าต้นทุน (หลอก) ของเค้าก็คือ 350 บาทครับ…

ใช้สินค้าและทำกิจกรรมให้น้อยลงน่าจะเป็นแนวทางในการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

พักนี้ผมได้ไปฟังสัมนาเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่หลายครั้งในเดือนเดียว เรียกว่า เป็นความถี่สัมนาที่ถี่มากเป็นพิเศษอย่างไม่เคยถี่เท่านี้มาก่อน แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมแทบทั้งสิ้น โดยเน้นไปที่การให้ผู้ผลิต หรือ ผู้ให้บริการทำตัวให้เป็นคนที่ดูแลสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น ทั้งนี้ยังมีอีกแนวคิดที่น่าสนใจก็คือ การที่ consumer หรือคนที่บริโภคเองน่าจะทำก็คือ การบริโภคแต่น้อยและคิดก่อนบริโภคให้มาก แทบไม่น่าเชื่อว่า ผมจะได้ยินข้อมูลที่ฟังดูประหลาดๆอยู่อย่างหนึ่งก็คือ คนอเมริกันนั้นจะใช้เสื้อผ้าคิดเป็นน้ำหนักเฉลี่ย 38 กิโลกรัมต่อคนต่อปี คำว่าใช้กับคำว่าทิ้งจะมีคนเท่ากัน เพราะ ถ้าหากว่าคุณไม่ได้เก็บเอาไว้ในตู้เฉยๆ สุดท้ายมันก็เหมือนกับการซื้อมาทิ้งอยู่ดี (อะไรที่ไม่ได้ใช้ผมก็เรียกว่าทิ้งทั้งนั้นน่ะครับ ห้องผมก็จะได้ไม่รกน่ะครับ) ลดการใช้สินค้าหรือบริการใดๆให้น้อยลง การที่โลกเรามีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมมาได้นั้นเนื่องจากคนมีปริมาณที่มากขึ้นและคาดว่าในอีกไม่เกิน 50 ปี (ผมจำไม่ได้น่ะครับว่ามันจะนานถึงขนาดนั้นหรือเปล่า) โลกเราจะอิ่มตัวคือ ไม่สามารถที่จะหาทรัพยากรธรรมชาติมาทดแทนใช้ได้อย่างพอเพียงต่อหัวต่อคน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ในการปลูกพืช และทรัพยากรธรรมชาติประเภทอื่นๆ แต่จากข้อมูลประมาณนี้ผมไม่รู้หรอกว่า เค้าเอาความต้องการใช้ทรัพยากรต่อหัวมากหรือน้อยเป้นเท่าไหร่เพราะตัวนั้นน่าจะมีผลต่อการคำนวณมากที่สุดครับ อย่างไรก็ดีถ้าหากว่าเป็นอย่างนี้ การบริโภคสินค้าใดๆ ควรจะน้อยลงเพื่อทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลงไป ไม่ใช่แค่เลือกบริโภคสินค้าที่เป็น Green product…

อะไรคือกิจกรรมที่มีคุณค่าสูงสำหรับตัวคุณเอง? (High Value Activities)

เรื่องเกี่ยวกับแนวคิดของ "HVA" (High Value Activities) เป็นเรื่องที่ผมเพิ่งเคยได้ยินมาไม่นานมากนัก แต่จริงๆแล้วเป็น concept ความคิดที่ผมคิดและ process อยู่ในหัวเมื่อจะต้องทำอะไรอยู่แล้ว เพราะ คุณจะต้องจัดสรร เวลา (Time) ,พลังงาน (Energy) และ ความสนใจใส่ใจ (Attention) ให้กับกิจกรรมใดๆที่เกิดขึ้นตลอดทั่วทั้งชีวิตปกติ และชีวิตทำงานของคุณในทุกวินาทีที่เดินหน้าไป Peter Drucker คนที่เคยคิดเรื่อง productitity และ เรื่องของการศึกษาเวลาในยุคอุตสาหกรรมจะมีคำกล่าวอยู่อย่างหนึ่งที่น่าจะเอามาใช้การได้คือ " Efficiency is doing things right and effectiveness is doing the right…

update แนวคิดในการทำงานและการจัดการงานในที่ทำงาน

ถ้าหากว่าคุณทำงาน office หรือทำงานโรงงานที่พบปะหรือสื่อสารผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ สิ่งหนึ่งที่คุณจะเริ่มเรียนรู้ได้ที่จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงาน และจัดการเวลา หรือ งานที่คุณจะต้องทำ ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิผล คุณอาจจะต้องคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ให้เป็นนิสัยกันหน่อยก็ดีน่ะครับ 1. อย่าพยายามทำงานทุกอย่างที่ไหลผ่านเข้ามา คุณไม่ได้มีเวลาเหลือเยอะแยะอย่างงั้นถ้าหากว่าคุณไม่ได้มีทีมเพื่อเอางานบางส่วนออกจากตัวคุณแล้วล่ะก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย สิ่งที่จะทำให้งานออกมาได้คุณค่ามากต่อเวลา เป็นไปได้สองทาง คือ การเพิ่มคนเข้ามาทำเพิ่ม โดยที่คุณเป็นคนกำกับงานเท่านั้น และให้คนที่เข้ามาใหม่ เรียนรู้ และเอาแนวคิดและวิธีการทำงานกับงานประเภทนั้นๆให้ได้ดี หรือ ถ้าเป็นไปได้ เอาคนที่มีความรู้ความคิดความอ่านเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ หรือ งานนั้นๆมาเลย เรื่องก็เดินได้เร็วขึ้น และได้ผลงานออกมาที่มีคุณภาพมากขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ดี ถ้าหากว่าคุณไม่มีศักยภาพใดๆที่จะแพร่งานให้คนอื่นได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือการ "ลำดับความสำคัญงาน" โดยใช้กฏ 80/20 หรือกฏของพาเรโต้ ที่บอกว่า งานได้ให้ผลลัพธ์ประมาณ 80%ของทั้งหมด จะเกิดจากงานจำนวนแค่ไม่เกิน 20%ของงานทั้งหมด…