ทำห้องนอนให้บรรยากาศเหมือนสปาด้วย Aroma Diffuser เพื่อให้หลับสนิทสบายทุกคืน

  ผมเป็นคนชอบบรรยากาศห้องนอนแบบสบายๆที่สุด เพื่อให้การนอนหลับเป็นไปด้วยดีทุกคืน ทำให้การหลับนั้นหลับได้ลึกและสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยความนี้ผมอยากจะแนะนำว่าอุปกรณ์ที่จะทำให้ห้องนอนของคุณมีบรรยายสบายสุดๆ ทำได้อย่างไร โดยผมตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะให้บรรยากาศเหมือนกับสปากันเลยก็ว่าได้ มาดูกันดีกว่าน่ะครับว่า ถ้าหากว่าคุณอยากจะเปลี่ยนห้องนอนของคุณให้เป็นสปา หรือ มีบรรยากาศน่าหลับน่านอน มันต้องมีอะไรบ้าง ? การสร้างห้องนอนคุณเป็นสปานั้นทำได้โดยการสร้างสภาพแวดล้อม 3 อย่างอันได้แก่ กลิ่น / แสง / เสียง เท่านี้ก็จะทำให้บรรยากาศเป็นสปาได้เต็มตัวแล้วล่ะครับ เริ่มจากกลิ่น : ด้วยเครื่อง Aroma Diffuser ปรับกลิ่นห้องนอนให้เป็นสปา ห้องนอนนั้นไม่แนะนำให้มีกลิ่นใดๆแรงๆอยู่ในห้องมากนัก แต่กลิ่นนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้บรรยากาศสบายได้ หากกลิ่นนั้นๆเป็นกลิ่นของดอกไม้หรือน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่คุณชื่นชอบ โดยกลิ่นนั้นจะโดยปล่อยออกมาจากเครื่อง Aroma Diffuser เป็นหลัก เพราะ มันจะเป็นการเอาน้ำมันหอมระเหยแค่บางส่วนคละคลุ้งกับไอน้ำละเอียดมากที่ตีออกมาด้วยคลื่นความถี่ระดับ untrasonic (เป็น Technology…

พิมพ์ Chat คุยกันในองค์กร อีกขั้นของการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

ตอนนี้คุณอาจจะแปลกใจว่า การ chat กันเป็น online Chat หรือว่าแม้กระทั่งระบบสื่อสารในองค์กร จะใช้เป็นระบบ Chat กันเสียซะมาก  การ chat ด้วยการพิมพ์ หรือ ผมมักจะเรียกเสมอๆว่า มันก็คือ การคุยกันด้วยนิ้ว แบบนี้จะเป็นการทำให้การสื่อสารกันชัดเจนใกล้เคียงกับระดับการพิมพ์เอกสารหากันเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะ แท้ที่จริง มันก็คือ ตัวอักษรที่อยู่บนเอกสารแค่ว่ายังไม่ได้พิมพ์ออกมาเป็นกระดาษเท่านั้นเอง การพิมพ์คุยกันนั้น มีข้อดีอยู่หลายประการด้วยกันถ้าหากว่าให้ลองนึกดูจะเห็นประโยชน์ทางตรงต่อไปนี้ – การพิมพ์คุยกันมีหลักฐานในการคุย : ถ้าหากว่าคุณโทรศัพท์ติดต่อกัน โดยตรงแม้ว่ามันจะอธิบายเรื่องราวกันได้ละเอียดเพราะว่าการพูดนั้นมันสะดวกกว่าพิมพ์ ในการอธิบายเรื่องราวที่ต้องการความเห็นสองทาง ถามตอบ หรือการอธิบายเรื่องราวที่มีความยาวในเนื้อหา การพูดดูเหมือนจะเป็นการติดต่อกันที่เหมาะสมกว่า แต่ในทางกลับกันถ้าหากว่า พูดคุยกันแล้ว เพื่อความแน่นอนกลับต้องส่งเอกสารอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นข้อสรุปเอกสารที่ต้องส่งผ่านกันด้วยการพิมพ์ แล้ว email หรือ…

กลยุทธ์ในการลดความเครียดจากเรื่องทุกอย่างในโลกนี้ แค่เข้าใจเหตุแห่งความเครียดและจัดการมันซะ !

ความเครียดโดยมากแล้วจะเกิดความแตกต่างระหว่างความเป็นจริง (reality) และสิ่งที่เราได้คาดหวังหรือคาดการณ์เอาไว้ (expectation) ถ้าหากว่าความแตกต่างจากสองสิ่งนี้มากขึ้นเท่าไหร่ เราเองก็จะรู้สึกได้ถึงความเครียดมากขึ้นเท่านั้น ลองคิดตามดูง่ายๆระหว่างความคาดหวังและความเป็นจริงที่แตกต่างของแต่ละสถานการณ์ เช่น ถ้าหากว่าคุณเป็นคนขับเป็นตำรวจจราจรและโดยกำหนดให้ว่าต้องไปออกแดดเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ความคาดหวังจาก มุมมองของคุณเองต่อการออกแดดนั้นก็คือ “คุณต้องไปออกแดดเพื่อปฏิบัติงาน” และ การออกแดดร้อนๆตอนกลางวันก็ไม่ได้เป็นสิ่งเกิดคาดออกไปแต่อย่างใดเมื่อคุณต้องไปออกแดดเพื่อโบกรถหรือจัดจราจรในสภาพจราจรที่ติดขัด แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่าคุณเป็นหนุ่มออฟฟิศที่คาดหวังว่าจะต้องอยู่ในสำนักงานแอร์เย็นฉ่ำและไม่ต้องโดนแดดตอนกลางวัน แต่วันหนึ่งคุณกลับโดนเจ้าของคุณเรียกให้ช่วยโบกรถของเจ้านายที่จอดคาเอาไว้ที่ถนนใหญ่หน้าสำนักงานของคุณเองตอนกลางวันแสกๆแดดร้อนๆ การออกแดดคราวนี้กลับเป็น การออกแดดร้อนที่เกิดจากความคาดหมายของคุณ ทำให้การออกแดดครั้งนั้นเห็นเหตุอันก่อให้เกิดความเครียดในที่สุด

คนเรามักจะสร้างความสัมพันธ์หรือรูปแบบขึ้นมาได้เองในทุกๆเรื่องแต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

การมองหา pattern หรือลักษณะความสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องที่คนเราคิดสร้างขึ้นมาได้ เป็นความสามารถหา pattern ได้นั้นหรือคาดเดาเอาว่ามี pattern นั้นสามารถกระทำได้ทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องสอนกันแต่อย่างใด เพราะ สิ่งเหล่านี้เกิดจากทักษะและเชาว์ปัญญาที่แต่ละคนมีเมื่อแนวคิดเหตุผลและ pattern รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่าเหตุการณ์นั้น ถูกตั้งเป็นกฏ หรือความเชื่อจากตัวเราเมื่อไหร่ มีความเป็นไปได้มากเสียเหลือเกินว่า เหตุผลหรือรูปแบบเหล่านั้นมันเป็นความจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ คนคิดมองเห็นภูมิใจกับสิ่งที่คิดว่าเป็นเหตุเป็นผลนั้นเสียด้วยที่ผมบอกว่ามันเหมือนกับ”ความเป็นจริง”ก็เพราะ มันยังไม่ได้รับการพิสูจน์แน่นอนว่า มันเป็นอย่างงั้นจริงๆ และการพิสูจน์นั้นก็อาจจะไม่สามารถทำได้หากไม่ได้มีการออกแบบ “การทดลอง” เอาไว้เป็นอย่างดีด้วยเหตุผล ตรรกะที่เหมาะสม หรือเป็นเหตุเป็นผลอย่างแท้จริง หลายต่อหลายครั้ง ที่เรามักจะคิดว่าเหตุการณ์มีความสัมพันธ์กันด้วยเหตุผลบางอย่างแต่มันไม่ได้เป็นอย่างงั้น ตัวอย่างที่ตอนนี้ผมคิดได้เพื่อเล่าให้กับคุณได้ฟัง เช่น การซื้อสินค้าประเภทบำรุงกำลัง (ซึ่งคุณอาจจะรู้จักกับ pseudo effect ที่บอกว่าแม้ว่ายานั้นอาจจะไม่ได้มีผลทางกายภาพจริงๆ มันก็อาจจะมีผลต่อจิตใจ และ มันก็จะทำงานได้ดีกับสิ่งที่ “เราแค่รู้สึก” หรือวัดผลไม่ได้ได้ดีทีเดียว) …

เรื่องไหมขัดฟันทำไมต้องใช้แล้วจะใช้มันยังไง

ผมก็แปลกใจอยู่อย่างหนึ่งมาตลอดว่า ทำไมตอนที่เรียนอยู่อนุบาล คุณครูไม่ได้บอกว่า ต้องใช้ไหมขัดฟัน คุณครูจะสอนผมแค่ว่า ให้แปรงฟันก่อนนอนและตอนเช้าตื่นนอนเท่านั้น หรือว่าจะถี่กว่านั้นก็คือ แปรงฟันหลังทานอาหารทุกครั้ง (แต่ก็ยังจะแอบงงว่า แล้วถ้าหากว่าแปรงทุกครั้งหลังอาหารแล้วยังจะต้องแปรงตอนตื่นนอนหรือก่อนนอนอีกหรือเปล่านั้น) แต่ว่าสุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะเชื่อแค่ว่า “การแปรงฟันที่เหมาะสมก็คือแปรงตอนตื่นนอนและการเข้านอน” แล้วก็ยึดการกระทำอย่างงั้นเรื่อยมา โดยไม่ได้มีคนบอกแม้แต่คนเดียวว่า มันมีอุปกรณ์อื่นที่จำเป็นอีกอย่างก็คือ “ไหมขัดฟัน” ผมเอาเอาเองก่อนว่า เมื่อก่อนเป็นเด็กไม่จำเป็นต้องใช้หรอก เพราะ ยังไงซะการใช้ไหมขัดฟันมันก็ยากเกินกว่าเด็กจะใช้งานกันได้ ก็เลยตัดข้อมูลนี้ออกจากหลักสูตร คุณครูก็ไม่ได้บอกไม่ได้สอนหรอกว่าต้องเอาไหมขัดฟันมาใช้ก่อนเข้านอนหรือว่าตอนตื่นนอนควบคู่ไปกันการแปรงฟัน แต่เมื่อโตแล้ว “ไหมขัดฟัน” กลับการเป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่ทุกครั้งที่ผมเข้าไปหาคุณหมอฟันก็จะกล่าวอ้างว่า ควรจะต้องใช้เพื่อให้เหงือและฟันแข็งแรง เรื่องเข้าใจผิดมาตลอดเกี่ยวกับไหมขัดฟัน ผมว่าคนส่วนมากถ้าหากว่าไม่ได้โดนหมอฟันบังคับหรือไปอ่านข้อมูลมาจากที่ไหนที่ดูแล้วน่าเชื่อถือมากเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพปากและฟัน ก็คงจะใช้แต่แปรงสีฟันและยาสีฟันไปเรื่อยๆตลอดชีวิต โดยไม่คิดที่จะใช้อุปกรณ์อื่นๆเพื่อทำให้สุขภาพปากและฟันดีกว่าเดิมขึ้นไปได้อีก แต่เมื่อได้ยินว่า เราควรจะใช้ไหมขัดฟันเพื่อเป็นการเอาเศษอาหารออกจากซอกของฟัน เป็นส่วนที่แปรงสีฟันเข้าไปทำความสะอาดได้ไม่ถึง มันก็ฟังดูเหมือนจะ make sense สำหรับใครหลายๆคน เพราะ ขนแปรงสีฟันมันไม่ได้แทรกเข้าไปได้ลึกขนาดที่ไหมขัดฟันจะทำได้ คำค้นหาของคุณที่มาเจอหน้าเว็ปนี้:ไหมขัดฟัน…

ฟังแล้วคิดเสียก่อนว่าคนพูดเพื่อให้เราเชื่อนั้นมีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลัง

ข้อมูลที่ไหลผ่านการรับรู้ของเราในตอนนี้ มีได้หลายช่องทางเอามากๆ ทำให้เราต้องมีความคิดในการกรองข้อมูลและเลือกที่จะเชื่อแบบมีข้อสงสัยเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งเชื่อไปเสียทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการบอกกล่าวจากเพื่อนฝูง ผู้หลักผู้ใหญ่ หรือแม้ระทั่งคนที่เรานับถืออยู่ การโอนถ่ายของมูลไม่ว่าด้วยการพิมพ์(เขียน)เพื่อให้อ่าน หรือแม้การสื่อสารด้วยคำพูดภาษาเพื่อให้รับทราบได้ด้วยสัมผัสหู และไหลเข้าสมองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ยกเว้นคุณจะมีสุดยอดทักษะหูทวนลม และความสามารถในการปฏิเสธการรับรู้จากเสียง) เมื่อคุณได้รับเนื้อหานั้น สมองของคุณเองเบื้องต้นจะ “เชื่อ” และรับความสิ่งนั้นเป็นความจริงเสียก่อน ก่อนที่คุณจะเริ่มมีสติก็กรองข้อเท็จจริง ความคิดเห็น และจุดมุ่งหมายเบิ้องหลังออกจากกันได้ คนที่สื่อความมีจุดมุ่งหมายอะไรเบื้องหลัง ก่อนอื่นคุณต้องทราบก่อนว่า ไม่มีใครบอกอะไรคุณแบบไร้เหตุผล (แม้ว่ามันจะเป็นเหตุเป็นผลกันหรือไม่ก็ตาม) ไม่มีคำพูดขึ้นมาลอยๆ แม้ว่ามันเหมือนกับการพูดบ่นขึ้นมาลอยๆก็ตาม เช่น เห็นคนทำงาน แล้วพูดกับตัวเองว่าเหนื่อย แต่ความเป็นจริงแล้วคนที่พูดนั้นต้องเห็นเราเสียก่อน เพื่อที่บอกเอ่ยวาจาออกมาว่า “เหนื่อย” เพื่อให้เรารับรู้อะไรบางอย่าง และมีเหตุผลในการพูดแอบแฝงไว้ตั้งแต่ต้นอย่างไม่ต้องออกแรงคิดมาก จุดมุ่งหมายในการเอ่ยข้อความหรือถ้าหากว่ามันยาวมากก็จะเป็นข้อมูล เมื่อตัวอักษรหรือคำเหล่านั้นไหลผ่านในรูปแบบของตัวหนังสือหรือคำที่ลอยมาตามลมผ่านการกระแทกของแรงดันอากาศกระทบแก้วหู มันก็จะสื่อส่งผ่านไปยังสมองทันที สิ่งแรกที่คุณจะต้องเริ่มกังขาก็คือ คำพูดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คนพูดรับรู้และไม่บิดเบื่อนจากความคิดใต้จิตสำนึกนั้นแล้วหรือไม่ โดยเป็นแนวคิดที่คนๆนั้นฝังหัวอยู่แล้ว และเชื่อตามนั้นอย่างจริงจังและไม่ม่ีข้อกังขาฝังอยู่ในหัวของคนพูดอีกแล้วหรือไม่หากคุณวิเคราะห์จากอาการ…

ประหยัดเวลาในปั้มน้ำมันโดยลำดับขั้นตอนและการกระทำของเราในปั้ม

กดที่ภาพเพื่อขยายใหญ่ : diagram นี้แสดงความแตกต่างในเรื่องความเร็วของสองกระบวนการในปั้มน้ำมันที่คุณอาจจะมองข้ามไปว่า มันทำให้คุณประหยัดเวลาที่คุณต้องอยู่ในปั้มน้ำมันได้ ผมไม่ค่อยชอบเติมน้ำมันสักเท่าไหร่ เพราะ นอกจากจะเสียเงินแล้ว ก็ยังต้องเสียเวลาอีกต่างหาก แม้ว่าการเติมน้ำมันแบบน้ำมันเบนซินจะเป็นการเติมพลังงานให้กับรถยนต์ได้ด้วยเวลาอันสั้นเมื่อเทียบกับพลังงานรูปแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น LPG หรือ NGV แล้วก็ตามที ผมก็ยังรู้สึกไปเองว่า “มันเสียเวลา” อยู่ดี ทั้งคนเติมและทางปั้มเองก็อยากจะใช้เวลากับการเติมน้ำมันให้น้อยที่สุด (ไม่มีคนอยากจะให้มีการเติมน้ำมันหรือเอารถอยู่ในปั้มน้ำมันให้นานๆไว้เลยไม่ว่าจะเป็นผู้ขายน้ำมันหรือผู้ซื้อน้ำมันอย่างคุณ) วันนี้อยากจะเสนอแนวคิดง่ายๆว่า ทำอย่างไรเพื่อให้รอบการหมุนของปั้มน้ำมัน และ เวลาที่คุณจะต้องเสียไปเพื่อการเติมน้ำมันให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ ลองไปดูกันว่า มันมีประเด็นอะไร จากการวิเคราะห์ง่ายๆของผมครับ

ทำไมองค์กรต้องแยกความรู้และทักษะของแผนกขายและผลิตออกจากกัน

การทำงานสำหรับองค์กรแล้ว ส่วนแผนกที่สำคัญสองแผนกคือ แผนกใดๆที่หาลูกค้าหรือติดต่อลูกค้า ไม่ว่าจะถูกเรียกในรูปแบบใดๆก็แล้วแต่ เช่น ฝ่ายขาย ทีมขาย พนักงานขาย และอีกแผนกก็คือ แผนกที่เป็นภาคผลิตหรือติดต่องานเพื่อทำให้การขายนั้นเกิดขึ้นสมบูรณ์ ไม่ว่าสิ่งที่ขายนั้นคือ สินค้าหรือบริการก็ตาม แผนกที่ว่านี้อาจจะเรียกว่า แผนก production แผนกประสานงานขาย co-sales หรือถ้าหากเป็นการซื้อมาขายไป ก็จะกลายเป้นจัดซื้อนั้นเอง (เพราะถ้าหากว่าซื้อมาขายไป ก็ซื้อนั้นก็อาจจะมองได้ว่าเป็นการบริการ) ทั้งสองแผนก ตามที่ผมได้ยกตัวอย่างไว้ สั้นๆต่อไปนี้ผมจะเรียกว่าแผนกขายและแผนกผลิตแล้วกันเพื่อความเข้าใจตรงกันแต่มันแค่คลุมความมาากกว่านั้นตามที่ได้อธิบายไปแล้ว สำหรับองค์กรแล้ว การทำงานจะต้องเป็นเรื่องของการประสานงานกันหลายฝ่ายที่มีทักษะและความสามารถไม่เหมือนกัน หรือ คนละขั้วกัน และ องค์กรจะต้องแยกงานเหล่านั้นออกมาเด็ดขาดจากกันอย่างสิ้นเชิงให้ได้ ทั้งนี้ เพื่อวัตถุประสงค์ของ การผลิตแข่งขัน ความลับทางการค้า และ การป้องการเกิดคู่แข่ง หรือบ่มเพาะคู่แข่งในระดับองค์กรนั่นเอง

คุณจะเพิ่ม productivity ในที่่ทำงานของคุณเองได้อย่างไร ?

ถ้าหากว่าคุณต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับการคิด อย่างเป็นขั้นเป็นตอน การคิดสร้างสรรค์และ การออกแบบ หรือแม้กระทั่งงานที่ทำอยู่เป็นประจำที่โต๊ะทำงานของคุณเอง จำเป็นจะต้องใช้ “สมาธิ” เพื่อที่จะทำให้งานของคุณนั้นทำเสร็จออกไปได้ แต่เนื่องด้วยสภาพการทำงานปัจจุบัน คุณจะต้องอยู่ต่อหน้า computer ทำให้คุณอาจจะต้องโดน “ตัดสมาธิ” อยู่เป็นประจำ ผมเคยอ่านบทความที่เล่าเกี่ยวกับเรื่องความยาวของสมาธินั้นปรากฏว่าเป็นตัวเลขที่ไม่มากเท่าไหร่ ถ้าหากว่าคุณไม่ได้ควบคุมเงื่อนไขใดๆเพื่อให้คุณมีสมาธิต่อการทำงาน 1 งานอย่างต่อเนื่องแล้วล่ะก็ คุณมีค่าเฉลี่ยของการมีสมาธิต่อการทำงานอย่างต่อเนื่องแค่ 3 นาทีเท่านั้น (แค่ระยะเวลาที่ต้มมาม่าสุกได้ 1 ห่อเท่านั้นเอง) และ ถ้าหากว่า คุณอยู่ในสภาวะที่ควบคุมเพื่อให้คุณมีสมาธิได้ดีมากที่สุด เช่นไม่มีการติดต่อรบกวนจากเครื่องมือสื่อสารใดๆ ไม่มีบุคคลอื่นๆอยู่รอบตัว และ ไม่มี internet Email เพื่อมารบกวนคุณ (รวมทั้ง Facebook , Twitter และ Social…

รายงานการออกกำลังกายประจำปี 2011 ที่ผ่านมาดูว่าออกแรงกันไปเยอะแค่ไหน?

ปีที่ผ่านมาการออกกำลังกายในจะมีการบันทึกด้วยอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็น FT80 หรือ iPhone App ครับ ว่างๆปีใหม่วันนี้ก็อยากจะเอาข้อมูลมาดูเสียหน่อยว่า สรุปได้ความอะไรจากการบันทึกบ้าง  .. มาดูกันเล้ยครับผม MY PROGRESS : Tracking โดย นาฬิกา POLAR HEART RATE FT80 ปีที่ผ่านมาผมว่าเป็นปีที่ผมออกกำลังกายหนักกว่าทุกปี และคาดว่าน่าจะมีการออกกำลังกายที่แข็งขึ้นเรื่อยๆทุกๆปีครับ ก็คิดว่ามันก็น่าจะเป็นเรื่องปกติ เพราะ ร่างกายมันจะปรับตัวเพื่อให้ฟิตและพร้อมาสำหรับการออกกำลังกายที่จะต้องปรับระดับความหนักขึ้นไปเรื่อยๆ การปรับความหนักของการออกกำลังกายนั้นผมว่าเป็นเรื่องจำเป็น ผมสังเกตว่า ตอนนี้ร่างกายจะทนต่อสภาพการออกกำลังกายแบบเดิม ด้วยน้ำหนักเดิมๆ หรือ ระยะเวลาและระยะทางในการวิ่งได้มากกว่าเก่า และ ถ้าหากว่าผมไม่คิดที่จะปรับเพิ่มความยากของ Level น้ำหนัก ระยะทางวิ่งใดๆ จะทำให้ร่างกายชินและชาและไม่ได้พัฒนาอะไรต่อครับ