ผมมีประสบการณ์ในการฟังก่อนแล้วค่อยเชื่อเป็นพื้นฐานในการใช้ชีวิต เราไม่จำเป็นต้องรีบเชื่อใครก็ตามที่มาบอกเราผ่านสื่อทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการบอกกันตรงๆเห็นกันตรงหน้า หรือ การบอกผ่านสื่อออนไลน์ ผมว่าคนสมัยใหม่นี้ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งได้เข้าถึงการใช้งาน internet ได้ไม่นานมากนัก จะมีแนวโน้มที่จะเชื่อทันทีที่ได้เห็นหรือได้รับเนื้อหามาจากคนอื่น ที่เราคิดว่าเป็นเพื่อนหรือคนที่เรารู้จัก แต่ว่า ผมต้องบอกก่อนน่ะครับว่า คนที่เรารู้จัก เค้าก็ไม่ได้กรองเรื่องที่คิดว่าน่าเชื่อถือหรือไม่แต่อย่างใด แต่เลือกที่จะส่งต่อให้คนอื่นทันที เหมือนว่า เรื่องของมึง จะเชื่อหรือเปล่าก็แล้วแต่ว่าวิจารณญาณของแต่ละคนไป
ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าหากว่าคนส่งสารนั้นอยู่ในสายงานที่ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับเนื้อหา หรือคนรับสาร รู้สึกเอาเองว่า คนส่งสาร (หรือคน forward สาร) มีความน่าเชื่อถือ แนวโน้มคือ คนรับสารก็เกือบจะเชื่อไปทั้งหมดแล้ว โดยไม่ได้มีการทดสอบเทียบว่า สาร ที่ได้รับนั้น มีความเป็นจริงหรือไม่ หรือแม้แต่กระทั่งไม่ลองกูเกิ้ลดูอีกหน่อยว่า เรื่องราวนั้น มีความแย้งมาก่อนแล้วหรือไม่ แต่เลือกที่จะเชื่อทันทีทันใดที่ได้รับสาร ซึ่งผมว่า มันก็ไม่ได้แปลกอะไรที่คนทั่วไปจะเลือกเชื่อไว้ก่อน เพราะ ผมเคยอ่านเจอว่า มันมีหลักการทำให้คนเชื่อได้หากองค์ประกอบในการส่งสารต่อครบองค์ประชุมดังต่อไปนี้
- เนื้อความนั้นถูกพิมพ์มาด้วยตัวอักษรหรือเป็นบทความที่เป็นข้อเขียน : ทำไมถึงเชื่อข้อเขียน ก็เพราะว่า เราเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า ให้อ่านหนังสือ แล้วให้เชื่อตำรา มาตั้งแต่อ้อนแต่ออด โดยไม่ต้องกังขาสงสัยบทความหรือเนื้อหาใดๆ ที่ผ่านการพิมพ์หรือเขียนมาเลย ทำให้เรามีประสบการณ์ในการเชื่อบทความทันทีด้วยความคุ้นชิน ลองคิดดูว่า ถ้าหากว่าบทความเดียวกันนั้นคุณได้รับเป็นคลิปเสียง มันจะทำให้ ความน่าเชื่อตกลงไปมากมายขนาดไหนกัน
- เนื้อความนั้นได้รับมาจากคนที่เรารู้จัก : แน่นอนว่า สมองเราคิดวิเคราะห์ทันทีว่าคนส่งสารมันน่าเชื่อแค่ไหน โดยไม่ได้ดูบริบทอื่นๆ ว่าบทความเองนั้นมันน่าเชื่อหรือเปล่า ? เพราะอะไร ? เรามีความเชื่อมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า ถ้าหากว่าเราคิดว่าคนไหนมีความรู้ดีในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราจะเหมาเอาเองว่า คนๆนั้นน่าเชื่อถือกว่าเรา และ ยิ่งไปกว่านั้น เราจะมองเทียบระหว่างคนส่งสารและตัวเราเองว่า ใครน่าจะมีความรู้ในเรื่องหนึ่งๆที่เกี่ยวกับบทความนั้นมากกว่ากัน และ เมื่อวิเคราะห์แล้วพบว่า คนส่งสารน่าจะมีความรู้ในเรื่องนั้นๆสูงกว่าเรา เราจะเลือกเชื่อ หรือเผลอเชื่อบทความนั้นโดยทันที ซึ่ง บอกกันตรงๆว่า การที่สมองเราวิเคราะห์แบบนี้ มันไร้เหตุผลสิ้นดี เช่น เพื่อนคุณเป็นหมอ แล้วปรากฏว่าแชร์ข้อความสุขภาพมาเข้ากลุ่มไลน์ โดยที่หมอคนนั้นยังไม่ได้อ่านบทความนั้นหรอก … (ซึ่งคุณไม่รู้หรอกว่าเค้าอ่านวิเคราะห์และเชื่อบทความนั้นหรือไม่) แต่ว่าดันแชร์ส่งต่อออกมาแล้ว แล้วคุณรู้ว่าคนแชร์เป็นหมอ คุณก็จะเชื่อโดยทันที เป็นกลไกปกติที่เราได้ถูกสั่งสอนมา
- บทความนั้นมีคนไม่รู้จักบอกซ้ำๆมาหลายคน : กรณีนี้ถือว่าเป็นกลไกที่สมองของเรา ใช้หลักการของ social proof ว่าถ้าหากว่ามีคนเชื่อแบบนั้นเยอะๆคนแล้ว เรื่องนั้นๆน่าจะต้องเป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย อืม… เพราะว่า เรานั้นขี้เกียจหาความจริงและ เราเลือกใช้ตรรกะนี้มานานแล้ว เนื่องด้วยเราเป็นสัตว์สังคม และ ก็คงมีประสบการณ์เรื่อง Wisdom of Crowds มามาก หากเราเห็นความเชื่อมาแค่มากกว่าสองคน เราจะคิดทันทีว่าเป็นเรื่องจริง
ทั้งนี้ เหตุผลในการเชื่อนั้นมีหลักการณ์อยู่ตามองค์ประกอบที่ได้ว่าเอาไว้แล้วในย่อหน้าเมื่อครู่ แต่สำหรับเหตุผลในการแชร์นั้น กลับเป็นคนละเรื่องกัน ! ทำให้คนแชร์ และคนเชื่อ อยู่กันคนละโลก มาดูคร่าวๆกันหน่อยว่า ทำไมคนถึงแชร์เนื้อหากันล่ะ ?
- ต้องการ social status ว่าเป็นคนดีและแบ่งปัน : เราแชร์เนื้อหาออกไปโดยที่เราคิดว่า เราอยากจะบอกคนอื่น เพื่อให้เรารู้สึกว่า เรานั้นเป็นคนดี บทความเหล่านี้ (ที่แชร์ออกไป) มีประโยชน์ต่อเพื่อนๆของเรา เราเลยอยากจะบอกให้คนอื่นได้ทราบ เราไม่ได้อยากจะบอกเพราะ อยากจะบอกเท่านั้น แต่ว่าเราอยากจะได้รับความรู้สึกว่า เราแบ่งปัน และเป็นคนดีในที่สุด ซึ่งความรู้สึกนี้เป็นเรื่องที่ทำให้มนุษย์ยังดำรงไว้ซึ่งสังคม และอยู่กับเป็นกลุ่มก้อนได้ (ธรรมชาติของสัตว์สังคมกันเลยก็ว่าได้)
- เรื่องราวนั้นน่าตกตะลึงไม่น่าเชื่อ : เรื่องราวในบทความมันแปลกแตกต่างจากความคิดความอ่านเราแต่ไหนแต่ไรแบบสุดขั้วมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจริงได้ ทำให้เราอยากจะบอกต่อคนอื่น เพื่อให้รู้สึกแบบเดียวกับที่เรารู้สึก (ว่ามันแปลกผิดกับที่เราคิด มันก็น่าจะแปลกและผิดกับที่คนอื่นหรือเพื่อนๆเราคิดด้วยเหมือนกัน) เพื่อให้เพื่อนรู้สึกประหลาดใจต่อไป เป็นการแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกตกตะลึงประหลาดใจต่อๆกันนั่นเอง
- เรื่องราวนั้นตรงกับความคิดความอ่านของเราเอง (confirmation bias) : ถ้าหากว่าเราเชื่ออะไรอยู่แล้ว ดันมีความมาบอกเราหรือเล่าเรื่องหรือเจอบทความที่ยืนยันความคิดความอ่านของเรา เรามีแนวโน้มจะแชร์มันออกไป เพื่อกำลังบอกว่า “เฮ้ย ! ไม่ได้มีแต่ฉันคิดเห็นอย่างงี้อยู่คนเดียวหรอกนะ ยังมีคนอื่นที่ไม่ได้เตี้ยมกัน เขาก็คิดอ่านแบบฉันเหมือนกัน!” แล้วก็แชร์ออกไปได้สะดวก เพราะตัวเองไม่ต้องมาพิมพ์บอกต่ออะไรด้วย แต่มีบทความสำเร็จรูปพร้อมแชร์ให้เสร็จและ แน่นอนว่า มันเป็นการสื่อสารประเด็นที่เราอยากจะบอกคนอื่น โดยการใช้บทความของคนอื่น เพื่อให้ได้อารมณ์ว่า มีคนคิดเหมือนกับเราเยอะแล้วสุดท้ายก็แชร์ออกไปในที่สุด อยากจะบอกว่าจริงๆแล้ว ตอนนี้ หากคุณอยากจะหาบทความที่เน้นความคิดของตัวเอง คุณสามารถหาได้ไม่ยาก และย้ำอีกทีว่า ยังไงมันก็มีหมดทุกแบบให้คุณค้นหาและอ้างอิง เช่น คุณกำลังจะอยากกินน้ำมันมะพร้าว ให้คุณค้นหาว่า น้ำมันมะพร้าวดีอย่างไร แต่ถ้าหากว่าคุณอยากจะไม่เสียเงินเพื่อซื้อน้ำมันมะพร้าว ก็ขอแค่ให้คุณค้นหาว่า โทษของน้ำมันมะพร้าว เป็นต้น แต่ว่า อย่างที่บอก คุณจะเลือกค้นหาข้อมูลและหลักฐาน (บทความปลอมหรือจริงก็สุดแล้วแต่….) เพื่อมายืนยันความคิดของคุณเองก็เท่านั้น คุณจะมองข้ามข้อมูลที่มันสวนทางกับความต้องการของคุณออกไปอยู่ดี
สรุปเอาเป็นคุณจะพอมองออกหรือเปล่าว่า คนรับสาร และ คนแชร์สาร (ส่งสารเผยแพร่สารหรือบทความ) มันไม่ได้มีเหตุผลในการส่งและรับ(เชื่อ) ด้วยเหตุผลเดียวกันเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้ผมมานั่งนึกได้ว่า ผมก็เชื่อเรื่องหนึ่งมาเสมอเรื่อง กาลามสูตร ซึ่งอธิบายเอาไว้ว่าอย่าได้เชื่อด้วยเหตุผลประการทั้งปวงต่อไปนี้
กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
เอาเป็นว่าคุณไ่ม่ต้องเชื่อผมหรอก แต่อยากจะพิมพ์เก็บเอาไว้ก็ .. เท่านั้นเอง