โรค NCD หรือ โรคที่บอกว่าเป็นอะไรที่ไม่ได้ติดต่อแต่หากเป็นแล้ว จะเป็นอาการเรื้อรังสะสมเป็นระยะเวลานาน ส่วนมากแล้ว จะเกิดจากการกินอยู่ และ พฤติกรรมอื่นใดที่เราเป็นคนควบคุมเอง ไม่ได้มีปัจจัยภายนอกมากำหนดสักเท่าไหร่นัก โดยเนื้อแท้แล้ว เกือบทั้งหมดจะมุ่งไปที่ “การกิน” เป็นประเด็นสำคัญจากปัจจัยทั้งหมด เรียกได้ว่า หากคุณอยากควบคุมโรค หรือ ไม่อยากจะเข้าสู่การเป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรังเหล่านี้ ก็ต้องควบคุมอะไรก็ตามที่จะเอาเข้าปาก ฟังดูแบบนี้เหมือนเป็นข้อแนะนำปกติทั่วไป แต่สำหรับบทความนี้ อยากจะสรุปให้ฟัง ตอนนี้ คนที่แนะนำกันใน Youtube ที่เป็นคุณหมอ Youtube ทั้งหลายแหล่ จะเน้นไปที่การกินเป็นหลัก และ มันมีหลักการ สำหรับการกินที่แน่ชัดแล้ว ! ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นคือ มันเป็นเรื่องที่ “คนปกติอย่างเราๆท่านๆ ไม่มีโอกาสได้รู้เรื่องเหล่านี้เลย” หากเราไม่ได้ใส่ใจ และ เราก็คิดว่าเรื่องพฤติกรรมการกินของเราเป็นเรื่องปกติ
เรื่องปกติที่เราคิดสำหรับการกินก็คือ ให้กินอาหารครบห้าหมู่ และ กินเป็นเวลา ทานอาหารสามมื้อ และ เลี่ยงการกินเค็ม ของมัน ของทอดและอาหารประเภทของหวาน ประโยคที่ว่ามานี้เหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จ ทั่วไป ที่ได้รับการแนะนำ หรือแม้กระทั่งอยู่ในตำราสุขศึกษาสำหรับเด็กๆ เรียกมาเหมือนกับที่คุณก็รู้ แต่ ประโยคเหล่านี้ มีหลากประเด็นที่มันผิด และ ไม่ได้ update กับโลกที่เรารู้แล้วว่า สิ่งที่ถูกต้องคืออะไรกันแน่ โดยบทความนี้จะบอกเป็นประเด็นๆแยกกันไปว่าเรารู้อะไรผิดแล้วอะไรเป็นสิ่งที่ปัจจุบัน (ตั้งแต่ปี 2016 แล้ว) รู้กันแล้วว่าจะต้องกินอย่างไรเพื่อไม่ให้เป็นโรค (เหมือนกับคนอื่นๆที่เป็นกันเยอะแยะและก็เป็นสาเหตุการตายเกือบทั้งหมด) กระบวนการที่สำคัญที่สุด ที่เราจะเอาเป็นเป้าหมายก็คือ เราจะทำยังไงก็ได้เพื่อให้เกิด “กลไกการกินตัวเองของเซลล์” บนร่างกายของเราเอง
เมื่อเติบโตแล้วจะต้องเป็นโรคแก่แล้วตายในที่สุด คำกล่าวนี้เหมือนจะไม่จริงอีกต่อไปแล้ว
กลไกการกินตัวเองของเซลล์นั้นถือว่าเป็นสุดยอดการ รับรู้ การค้นพบที่สำคัญมากแห่งยุคตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา เพราะ แทบไม่มีมนุษย์โลกคนไหนที่เข้าใจและพบประเด็นเหล่านี้มาก่อนอย่างเป็นหลักการ และ มีหลักฐานแน่ชัด แต่สำหรับคนที่ค้นพบและประกาศให้โลกรู้ และ ได้รับรางวัลโนเบลนั้น คือ แพทย์ญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าวและได้ข้อสรุปแห่งการทำให้ตัวเองมีสุขภาพที่ดีเยี่ยม มันดีไปกว่านั้นก็คือ การทำให้ร่างกายสามารถย้อนไวกลับลงได้อีกต่างหาก ใช่แล้ว มันไม่ได้เป็นอะไรที่ทำให้แค่สุขภาพดี เลี่ยงโรค และ มันเล่นย้อนหลังเวลาของร่างกายได้อีกด้วย เกินกว่าที่คนเราจินตนาการได้ !
แต่ไหนแต่ไร เราเรียนรู้และเหมือนเป็นสิ่งที่บอกกันมาว่า ถ้าหากว่าเราเติบโตแล้วเกินกว่าวัยเจริญพันธ์ ร่างกาย เราจะเริ่มเสื่อมลงเรื่อยๆ และ เรื่อยๆอย่างเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เลี่ยงมิได้ แต่กระนั้นก็ตาม เราไม่ได้เกิดความกังขาประการใด และ น้อบรับความคิดเหล่านั้น เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตของตัวเราเอง หล่อหลอมเข้าไป เชื่อมสนิทใจ และ ไม่คิดแม้กระทั่งจะต้านทานความคิดหรือแนวคิดอะไรแบบนี้ จากภาพคนรอบตัวที่เราเห็นว่า แต่ละคนก็เป็นมะเร็งแล้วตายไป แต่ละคนก็เป็นโรคหลอดเลือด หัวใจ ทางเดินหายใจ ระบบเลือดทางเดินกระแสเลือด แล้วก็ตายไป หรือยอมรับว่าเป็นคนป่วยแล้วไม่รักษาต้นเหตุ (ไม่ได้แค่การกินยา เพราะ การกินยา ไม่ได้เป็นการรักษาต้นเหตุ เป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น) ความเข้าใจ “ผิด” แบบนี้นั้น ทำให้เราไม่เคยออกแรงแม้กระทั่ง Google หาความจริงว่า เราได้รู้แล้วว่า มันไม่ได้อย่างนั้น และ มันมีวิธีการที่ได้มีการสรุปเอาไว้แล้ว โดยที่มันกลับโดนปิดบังจากภาคอุตสาหกรรมอาหาร ไม่ให้คุณได้มีโอกาสรับรู้ และ ยังคงสื่อสารผ่านสื่อเหมือนเดิม เพื่อให้คุณยังคงหลงเชื่อ ความเชื่อกลวงๆเหล่านั้นอยู่เช่นเดิม
หากคนรับรู้ความจริงของ “การกินตัวเองของเซลล์” แล้วจะทำให้อุตสาหกรรมอาหารวิบัติอย่างช่วยไม่ได้
ถ้าหากว่าคุณรู้ว่าแล้ว่า การกินตัวเองของเซลล์ เป็นเป้าหมายที่ เราเองก็จะทำให้เกิดกับร่างกายหยาบของตัวเองนี้ ที่คุณสิงสู่ใช้งานมันอยู่แล้วล่ะก็ สุดท้ายแล้ว คุณจะบริโภคอาหารแตกต่างออกไปจากเดิมมาก และ ปริมาณเหล่านั้นก็จะน้อยลงอีกด้วย จะมี product line อาหารที่จะต้องโดนยกเลิก และ คุณจะไม่ได้เลือกกินมันอีกต่อไปตั้งมากมาย และ หากคนรู้กันเป็นวงกว้าง จะทำให้สายการผลิตจากแหล่งเงินทุนของเหล่าบรรดาเศรษฐีตั้งมากมายจะต้องพร่องหายไปอย่างมีนัยสำคัญอย่างแท้จริง พวกเขาเลยเลือกที่จะ ปิดบัง ความจริงเหล่านี้ออกไป ไม่ให้คนทั่วไปได้รับรู้ เพราะ มันส่งผลร้ายต่อธุรกิจอาหารอย่างร้ายแรงมาก ขนาดของ market cap. ของวงการอาหารจะน้อยหายไปอย่างน้อยก็ 1 ใน 3 หรือกว่า 33% ของทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ทำไมน่ะหรือ ? เหตุผลก็ง่ายๆเพียงแค่ว่า การที่เราจะทำให้ร่างกายนั้น เกิดกลไกการกินตัวเองของเซลล์ได้นั้น คุณจะต้องกินน้อยลงไปประมาณ 30% หรือราวหนึ่งมื้อเลยก็ว่าได้ และ นี่ลดมื้อลง ไม่ได้แปลว่า คุณจะกินปริมาณอาหารน้อยลง แต่เป้าหมายของการทำให้เกิดกลไกดังกล่าวคือ คุณจะต้องลดช่วงเวลาการกินลงไปต่างหาก ไม่ได้หมายถึงปริมาณเสียทีเดียวหรอก แต่นั่นเป็นผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในที่สุด
สิ่งที่คุณจะต้องทำเพื่อให้คุณไม่เป็นโรค NCD ที่แท้จริง
สิ่งที่คุณจะต้องทำเพื่อให้คุณไม่เป็นโรค NCD ที่แท้จริง นั่นคือ การลดช่วงเวลาการทานอาหารจากการเฉลี่ยกินทั้งวันขณะที่มีสติ ให้ลดลงเหลือเพียง 8 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น ซึ่งมันก็เยอะมากเพียงพอที่จะทำให้คุณสามารถกินอะไรให้อิ่มก็ได้ในห้วงระยะเวลาดังกล่าว กระบวนการเพื่อสื่อสาร การกินแบบนี้ เราจะเรียกกันว่า การกินแบบ IF คือ การกินเป็นช่วงเวลาสลับระหว่างช่วงเวลาอบและช่วงเวลาที่กินได้ นอกจากกฏข้อนี้แล้วที่เราจะบรรลุไปถึงระดับ การทำให้เกิดการกินตัวเองของเซลล์ขั้นสูงสุด คือการกิน IF ที่ยากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
เอาล่ะ เรามาเริ่มที่ว่า การกิน IF โดยปกติจะตามด้วยรหัสตัวเลข เช่น IF16/8 แปลว่า เราจะทำการไม่กินอะไรเลย (ที่มีพลังงาน) เป็นเวลาต่อเนื่องกัน 16 ชั่วโมง แล้วก็กินอาหารได้ 8 ขั่วโมง ซึ่งช่วงเวลาที่ไม่กินอะไรเลย คุณจะกินน้ำได้ กินอะไรก็ได้ที่มันไม่ได้ให้พลังงาน (เราจะไม่อธิบายว่าอะไรไม่ให้พลังงานบ้าง) และ เป้าหมายของการทำให้เกิดการกินตัวเองของเซลล์ จะเกิดขึ้นต่อเน่ื่องหลังจากที่เราอยู่ในห้วงเวลาของการไม่กินอะไรต่อเน่ื่องอย่างน้อยเกินกว่า 12 ชั่วโมงแล้วนั่นเอง ดังนั้นแล้ว สำหรับคนที่ต้องการ optimize กลไกให้เกิดมากที่สุด ก็แปลว่า มันไม่ได้เป็นการกินระบบ IF 16/8 เพียงเท่านั้น เขาอาจจะเลือกทำ IF 20/4 หรือ หนักกว่านั้นอีกสักนิดก็คือ IF 24 กันไปเลย ก็คือ การกินเพียงครั้งเดียวต่อวัน (ทำสัปดาห์ละ 1-2 วัน) ถ้าหากว่า คุณไปได้สุดด้วยระบบการทำ IF24 คือกินเย็นนี้แล้วกินอีกที่เย็นพรุ่งนี้ ทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ถือได้ว่า คุณได้กระทำการระดับเทพแล้ว และ คุณอาจจะอยากลองอะไรที่ทำเดือนละครั้งได้ต่อไป คือ การทำ IF72 hours หรือกินเย็นนี้แล้วอีกสองวันหน้าเย็นค่อยได้กินอะไรกลับมาอีกรอบ
ระหว่างที่คุณอยู่ในห้วงเวลาที่กินอาหารได้ จะต้องเลือกกินด้วยกฏง่ายๆแค่ว่า ให้กินแป้งและน้ำตาลน้อยที่สุด หรือไม่กินมันไปเลยก็ทำได้เช่นเดียวกัน แล้วเลือกกินโปรตีนและไขมันเป็นพลังงานหลักสำหรับมื้ออาหารเหล่านั้น หากคุณตามกฏนี้แล้ว จะทำให้น้ำหนักตัวนั้นลดลง โดยการที่ร่างกายจะเปิดสกิลใหม่ที่คนสมัยก่อนยุคอุตสาหกรรมมีกันก็คือ การแปลงไขมันในร่างกายมาเป็นพลังงาน แทนที่จะใช้แต่พลังงานหลักจากคาร์โบไฮเดครต (แป้งและน้ำตาล) คุณรู้หรือเปล่าว่า สกิลนี้ของร่างกาย หากคุณกินอาหารหลักเป็นแป้งและน้ำตาลเป็นประจำ แล้วกระจายทั่วทั้งวัน ด้วยการกินสามมื้อ มันจะทำให้ร่างกายคุณเปิดโหมดการใช้พลังงานจำเพาะแป้งและน้ำตาลเท่านั้น เป็นการใช้พลังงานหลักเพื่อการนอนนั่งหายใจไปวันๆ โดยที่ไขมันนั้นไม่ได้รับการเอาไปเผาใช้เลย ซึ่งคุณอาจจะรู้ได้ว่า คุณเองมีไขมันในร่างกายกี่กิโลกรัม โดยการใช้ตาชั่งที่บอกว่าประเภทมวลของน้ำหนักได้ ในราคาเครื่องช่ังประเภทนี้เพียง 690 บาทเท่านั้นเอง (แนะนำซื้อของ เซี่ยวหมี่)
ร่างกายหยาบของคุณ ที่คุณมีสิทธิ์กระทำชำเราได้ด้วยตัวคุณเอง ถ้าหากว่าเขาเลือกที่จะใช้พลังงานหลักเป็นแป้งและน้ำตาล แล้วไซร้ ก็แปลว่า เขาจะทำให้คุณหิวบ่อยเอามากๆ เพื่อที่ให้คุณไปล่าแป้งและน้ำตาลมาบริโภคเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า ถังพลังงานสำหรับประเภทแป้งและน้ำตาลในร่างกายของคุณนั้น มันมีถังที่รองรับน้ำหนักได้เพียง 4 ขีดเท่านั้นเอง (400 grams) กลับกันกับปริมาณไขมันที่มันสามารถขยายเพิ่มขนาดออกไปได้เรื่อยๆอย่างไม่จำกัด เรียกได้ว่าเป็นขุมพลังที่สามารถเพิ่ม Storage ได้เรื่อยๆแบบ expandable แน่นอนว่า ถ้าหากว่าคุณกินน้ำตาลและแป้งมากกว่า 400 grams ที่ร่างกายสำรองเอาไว้ได้ มันจะแปลงสภาพแป้งและน้ำตาลเหล่านั้นให้เป็นไขมันแล้วก็เอาไปเก็บเป็นพลังงานสำรองที่ไม่มีวันได้ใช้ต่อไปเรื่อยๆ และ นั่นก็หมายความว่า มันจะกลายเป็นวงจรอุบาศว์ของการทำให้ตัวเองให้เข้าสู่ประตูแห่งความตายจากโรค NCD ในที่สุด อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คงไม่ต้องเล่าหรอกว่าทำไมเมื่อแป้งและน้ำตาลมันไหลมากเกินกว่าปริมาณที่ร่างกายรับได้ มันจะก่อให้เกิดโรคได้อย่างไร คุณเองน่าจะรู้อยู่หรอกว่า เมื่อเลือดเป็นน้ำแดง ข้นราวน้ำเชื่อมแช่อิ่ม มันจะหนืด และ เป็นจุดที่ลำเลียงน้ำตาลที่ทำลายเซลล์ต่างๆได้ ไหลไปทุกส่วนของร่างกายที่เน่าเฟะนี้ มันก็คงเป็นจุดเริ่มต้นของสาเหตุใดๆก็ได้ที่จะทำให้อวัยวะที่เกี่ยวข้องพังยับเยิน เมื่อเลือดหวานมีน้ำตาลขึ้น เพียงหยดลงไปที่พื้นแล้วมดมาตอม ก็ไม่น่าจะปกติแล้ว คุณจะต้องใช้ชีวิตกับร่างกายหยาบที่มีระบบเลือดแบบน้ำแดงผสมนมข้นหวานต่อไป อวัยวะอื่นๆก็พยายามต้านทานสภาพเพื่อที่จะอยู่ให้ได้ หัวใจจะต้องออกแรงปั้มให้มาก เพียงแค่นั่งเฉยๆก็เหนื่อยราวกับไปวิ่งขึ้นบันได เส้นเลือดจะแข็งกรังไม่ยยึดหยุ่น หากท่อลำเลียงแตกหัก ไม่ว่าส่วนใด ก็จะทำให้เกิดปัญหาโดยเฉพาะเส้นเลือในสมอง (แตก) แน่นอนว่า คุณจะไม่สามารถทนในสภาพนี้ได้ และร่างกายของคุณ พร้อมอวัยวะภายในของคุณทั้งหมดจะเสื่อมสภาพไปแบบไม่มีวันหวนกลับหากคุณยังไม่รักษาสภาพการณ์ให้ดีกว่าที่มันเป็นอยู่ ไม่ว่า อาการของมันจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ … มันจะทำให้คุณตายเป็นผลลัพธ์ที่คุณจะต้องยอมรับ … อย่างงั้นหรือ?
คุณต้องจริงจังกับการเลี่ยงแป้งและน้ำตาลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ใช่แหละ เหมือนว่าจะเอาอะไรกับแค่แป้ง หรือว่าน้ำตาลกันล่ะ ฉันจะกินนิดกินหน่อยไม่ได้เหรอยัง คำตอบ คือได้ ถ้าหากว่า คุณต้องการนำของเสียเข้าร่างกาย มันเลวร้ายขนาดไหนกันเหรอ ? ใช่แล้วการเอาแป้งและน้ำตาล โดยเฉพาะของหวาน (น้่ำตาล) มันจะเป็นการทำร้ายร่างกายได้อย่างไม่น่าเชื่อว่ามันจะรุนแรงขนาดนี้ น้ำตาลเป็นตัวที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้แย่ลง บกพร่อง และก่อให้เกิดโรคได้ง่ายๆ เป็นต้นเหตุของปัญหาเชิงสุขภาพทั้งหลายที่ทำลายล้างร่างกายผ่าน NCD นอกจากนี้ น้ำตาล ยังเป็นสารเสพติดร้ายแรงที่ออกฤทธิ์แบบเดียวกับโคเคนและเฮโรอีนที่ “ถูกกฏหมาย” อีกต่างหาก มันทำให้ทุกอย่างอร่อยขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่กลับมีโทษมหันต์แบบกู่ไม่กลับกันเลยก็ว่าได้ เรื่องบ้าบอนี้มันเลวร้ายไปกว่านั้น เมื่อธุรกิจสามารถผลิตน้ำตาลประเภทโครตเสพติดได้ มันก็คือ น้ำตาลประเภท High Fructose Corn Syrup ที่นิยมเอาไว้ใส่เข้าไปน้ำเครื่องดื่มที่ผลิตเป็นแบบ mass production เนื่องด้วย การที่น้ำตาลประเภทนี้ สามารถลดต้นทุน (สร้างกำไร) ให้กับการขายเครื่องดื่มหรืออาหารที่ผสมเข้าไปได้มากกว่าเดิม เพราะ มันหวานกว่าน้ำตาลปกติไปกว่า 1.5 เท่า และประหยัดกว่ามากเมื่อเทียบกับน้ำตาลปกติ ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับกระบวนการผลิตอาหารประเภทที่จะต้องผสมน้ำตาลเพื่อใช้เป็นสารเสพติดให้คนซื้อแล้วเอาไปกิน เมื่อกินแล้วก็เสพติดกลับมาซื้อซ้ำอีกครั้งวนไปเรื่อยๆจนกว่าคนๆนั้นจะไม่มีเงินมาซื้่อแล้วหรือว่าตายกันไปข้างหนึ่ง (เป็นการเค้นเอากำไรออกจากคนๆหนึ่งให้ได้มากที่สุด ภาษาธุรกิจเรียกว่า customer lifetime value) ดังนั้นแล้ว สำหรับภาคอุตสาหกรรมอาหาร ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เลือกใช้น้ำตาลเสพติดรุนแรงประเภทนี้เพิ่มเข้าไปในผลิตภัณฑ์ โดยที่กฏหมายไม่เอาผิดอะไรสักเท่าไหร่ (ตอนนี้มีภาษีความหวานก็จริงแต่นั้นก็แปลว่า รัฐ ต้องการรายได้เสริมจากการขายผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารเสพติดแรงสูงแบบนี้ด้วยยังไงล่ะ WIN-WIN) แน่นอนว่า สารเสพติดประเภทน้ำตาลแบบนี้ จะไม่มีวันโดนประกาศว่า มันเป็นภัยต่อความมั่นคง หรือเป็นอะไรที่เลวร้ายมากนัก เมื่อรัฐที่กุมความเป็นความตายของคนในมือจากความไม่รู้ของคนและผ่องถ่ายเงินผ่านสินค้าเหล่านี้ออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้นแล้ว เมื่อคุณรู้ว่า น้ำตาลมันเป็นภัยร้ายขนาดนี้ สิ่งที่คุณพึงกระทำก็มีแค่อย่างเดียวก็คืออย่าเอามาใส่ปาก หรือเอามาใส่อาหารแล้วเสพมันกินเข้าไปทุกวันๆ โดยที่มันจะหน้าที่ทำร้ายกายหยาบกายเดียวที่คุณจะมีได้ในชาติภพนี้ ตอนนี้ คุณก็รู้แล้วด้วยว่า หากคุณจะต้องทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพปกติเป็นสุขได้ จะต้องหลีกหนีจากคาร์โบไฮเดรตให้ได้มากที่จะมากได้
เอาล่ะอย่างเพิ่งสิ้นหวัง ! เพราะ ตอนนี้ หากคุณได้อ่านเนื้อความนี้ทั้งหมดแล้ว มันแปลว่า คุณเข้าใจกลไกที่เพิ่งถูกค้นพบเหล่านี้ และ คุณเป็นคนส่วนน้อยของโลกใบนี้ที่โชคดีและเข้าใจได้อ่านบทความนี้ และ นั่นเป็นทางออกสำคัญที่จะทำให้กายหยาบของคุณพ้นสภาพเน่าเฟะเหล่านี้ได้จริงๆด้วยกลไกหลักการของการกินตัวเองของเซลล์ที่ว่าไป ซึ่งคุณเองก็ทำได้และมันไม่ได้ยากเกินไป เพราะ แท้ที่จริงแล้วมีคนเป็นเบาหวาน เป็นโรคอ้วน เป็นความดัน และตัดสินใจ “เลือกทาง” โดยทำให้ร่างกายเกิดกลไกการกินเซลล์ตัวเอง และ กลับมาพร้อมกับร่างกายใหม่จากเซลล์ชุดใหม่ได้จริงๆมาแล้วนักต่อนัก และ หวังว่า คุณเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เปลี่ยนร่างของคุณได้สำเร็จด้วยเช่นเดียวกัน ขอให้คุณโชคดี