บันทึกสภาพการณ์ เดือนสุดท้ายก่อนเข้าถึงฤดูกาลระดมฉีดวัคซีน COVID 19 และยังคงต้องลุ้นกันต่อไป

สำหรับบทความนี้เหมือนจะเป็น Note ส่วนตัวสักเล็กน้อยเพื่อบันทึก วันเวลาที่เกิดเหตุการณ์ระดับโลก ที่เรียกว่า COVID 19 แล้วไทยเองก็คาดว่าจะได้ วัคซีนสำหรับระดมฉีดให้คนทั่วไปในเดือนมิย.2564 ที่กำลังจะถึงในอีก 1 สัปดาห์ข้างหน้า โดยสภาพการระบาดตอนนี้ถือได้ว่า แรงขึ้นเรื่อยๆทุกวันอย่างเลี่ยงไม่ได้ การที่มันระบาดหนัก ทำให้คนกรุงเทพเช่นกระผมก็เลือกที่จะอยู่กับบ้านเท่านั้น แต่ จริงๆก็ไม่สามารถอยู่บ้านได้ตลาด เพราะ ยังไงก็ต้องมีเดินทางไปซื้ออาหารบ้างแม้นว่าจะเลือกซื้อผ่านระบบ online แต่ของบางอย่างก็ไม่มี online ก็ยังคงต้องเข้าไปเสี่ยงบ้างไม่มากก็น้อยตาม supermarket แต่เราก็เลือกที่เลี่ยงการเดินตลาดสดจริงๆ เพราะ คนในนั้นจะเยอะมากเกินไป และ ส่วนมาก ถ้าหากว่าสังเกตกัน เราก็จะพบว่า ตลาดสดก็เป็น cluster ระบาดได้ในหลายเดือนที่ผ่านมา 

สภาพโดยรวมแล้ว มันเหมือนกับการ “รบ” เสียมากกว่า สำหรับพลเรือนเหมือนเราๆท่านๆก็ทำได้แค่ว่า “ถ้าหากว่าทางรัฐแจกเกราะกันกระสุนมาก็คงต้องเอาไว้ก่อนเป็นดี” อย่างเสียไม่ได้ แม้ว่า งวดนี้ การรบคือ การสู้กันระหว่างสัตว์มนุษย์ และ เชื้อโรคที่ไร้วิญญาณและไม่มีความคิดหรือสมองด้วยซ้ำ ก็คือ เจ้าไวรัสโควิดเนี่ยะแหละ เกราะกันกระสุน ก็ถ้าหากให้เทียบ มันก็เหมือนกับวัคซีน ที่รัฐบาลจัดเอามาให้เพื่อให้เราสวมใส่เพื่อที่จะเอาชนะ หรือป้องกันการเกิดอันตรายจากห่ากระสุนโวรัสที่ระดมยิงติดต่อกันเข้ามาใกล้เรามากขึ้นเรื่อยๆทุกวันๆ อย่างไม่เหมือนวี่วาวว่าจะชนะมันได้อย่างไรกัน

หากมองว่าสภาพการะบาดก็คือการรบ และ สงครามมันจะยึดเยื้อหรือไม่ ก็แล้วแต่ว่า วัคซีนจะสามารถผลิตและกระจายให้กับคนทั่วโลก (ไม่ใช่แค่กรุงเทพ หรือ แค่ประเทศไทย) ได้มากน้อยเพียงใด เพราะ หากยังคงเป็นว่า บางประเทศฉีดแล้วทั้งประเทศ แต่กลับมีประเทศใดประเทศหนึ่งยังไม่เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ เราก็จะยังคงวนลูปซ้ำการเกิดระบาดใหม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะ สภาพของไวรัส มันจะเปลี่ยนร่างหรือพัฒนาตัวเองจากการระบาดต่อๆไปเรื่อยๆ ใช่แหละ มันอาจจะเกิดในพื้นที่แอฟริกา หรือที่ๆที่เราไม่ต้องไปแคร์อะไรมันเพราะคนในประเทศนั้น ก็อาจจะไม่สามารถออกนอกประเทศมาได้ แต่ถ้าหากว่า ประเทศที่ว่านั้นเกิดเป็นประเทศที่สามารถให้คนบินเข้าออกประเทศได้อยู่ล่ะ มันก็กลับมาเป็นสภาพเหมือนตอนอู่ฮั่นครั้งแรก อะไรประมาณนั้นแล้วก็เกิดการระบาดทั่วโลกซ้ำแล้วซ้ำอีกได้อย่างช่วยไม่ได้ 

สังเกตพบได้หรือเปล่าล่ะว่า .. แท้จริงแล้ว การระบาด หรือการบครั้งนี้เป็นการพัฒนาวัคซีนแข่งกับเวลาเสียมากกว่า โดยเส้นชัยคือ คนจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนทั้งโลกนี้มากกว่า 70-80% โดยไม่มีการกั้กว่า มันจะต้องเป็นประเทศฉัน ประเทศเธอ ประเทศเขา หรือประเทศใคร เพราะ คนก็คือ คน และ ประเทศไม่ได้เป็นตัวกั้นเหมือนกับคอกสัตว์ได้ การที่ความสามารถในการระดมฉีดในแต่ละพื้นที่หรือแต่ละประเทศไม่เท่ากันก็ยังเป็นผลที่อาจจะทำให้เกิดการวนซ้ำของการเกิดไวรัสได้อยู่ดี เหมือนกับนับหนึ่งใหม่ที่อู่ฮั่นอะไรแนวๆนั้นได้ 

กลไกของโลกเรามันโง่เขลากว่านั้น ทั้งๆที่มีโรงงานเพื่อการผลิตวัคซีนมากมายทั่วโลก แต่กลับมีโรงงานเพียงบางโรงเท่านั้นที่ได้รับสิทธิบัตร หรือสูตรการผลิตวัคซีนอะไรพวกนี้ ทำให้คาดเดาเอาได้เลยว่า อัตราการผลิตวัคซีนต่อความต้องการโดยจะต้องแข่งกับอัตราการระบาด (สู่กันโดยมองสนามการแข่งขันคือโลกทั้งใบ) ถ้าหากว่าในสองปีใครสำเร็จก่อนก็เป็นฝ่ายชนะไป มันเลยออกมาได้ 2 สถานการณ์ คือ การผลิตและระดมฉีดคนทั้งโลกทำได้ไวมากกว่าอัตราการพัฒนาของไวรัส โลกเราก็จะไร้ปัญหาเรื่องไวรัสกลายพันธ์ที่เหนือกว่าวัคซีนได้ และอีกสถานการณ์หนึ่งก็คือ ถ้าหากว่าการระดมฉีดกับคนทั้งโลกนั้นน้อยกว่าอัตราเร่งการพัฒนาของไวรัส อันเกิดจากการระบาดต่อๆกันไปรุ่นต่อรุ่นเพื่อปรับตัวของไวรัสเอง ก็จะทำให้วนลูปแล้วเริ่มต้นใหม่ และ ดูเหมือนว่า … น่าจะเป็นกรณีที่สองนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด คนที่พัฒนาสูตรยังคงกั้ก และ การผลิตก็ยังคงกั้กเช่นเดียวกัน ไม่แจกสูตรให้เป็นเหมือนกับ program open source ไม่มองว่า มันจะทำให้การป้องกันการระบาดนั้นจบลงได้ แต่กลับทางกัน โรงงานผลิตนั้นหรือผู้พัฒนาสูตรนั้น น่าจะพอใจกับสภาพการณ์ที่สองเสียมากกว่า มันจะดีกว่ามาก(สำหรับโรงงานยา) เพื่อให้ไวรัสนั้นได้รับการพัฒนาต่อเนื่องเพื่อโรงงานและผู้พัฒนาไวรัสจะต้องคอย อัพเดท ปรับปรุงและฉีดยาอะไรพวกนี้ให้กับคนทั้งโลกอีกเช่นเดิม 

หากกลไกที่ลงตัวระหว่างไวรัส และผู้พัฒนายาและโรงงานยานั้นลงตัวในมิติที่ว่า การที่ไวรัสเกิดใหม่ต้องอัพเดทซ้ำไปเรื่อยๆแล้วกลับทำให้ผู้พัฒนายานั้นได้เงินและกำไรต่อเวลามากทีสุ่ด แล้วล่ะก็​ … มันไร้เหตุจูงใจเชิงเศรษฐศาสตร์อย่างจริงจัง (หรือเปล่า) แม้นว่าโลกนี้จะล่มสลายไป คนตายไปเรื่อยๆวันละแสนๆคนอย่างงั้นหรือ ? หรือมันจะต้องรอให้คนตายไปเรื่อยๆเรียกว่า ล้างโลกทิ้งไปเสีย เพื่อให้อัตราการทำกำไรมันลดลง เพราะ คนค่อนโลกตายไปทั้งหมดจากการระบาดหนักของไวรัส ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นแล้ว แน่นอนว่า มันจะเกิดความคุ้มค่ามากกว่าเมื่อแจกสูตร เพื่อให้คนไม่ตายไปมากกว่านั้น (ใช่แล้ว ถ้าหากว่าคนในโลกนี้น้อยลง โรงงานผลิตยาและผู้พัฒนายาก็จะหาเงินได้น้อยลงเช่นเดียวกัน) 

เอาล่ะเหมือนจะบ่นออกไปทางมหภาคเสียมากกว่า ซึ่งตอนแรกนึกว่าอยากจะโน้ตสภาพการณ์รอบตัวที่ใกล้ตัวมากกว่า และ โน้ตถึงระดับจิตใจกับความคิดภายในด้วยซ้ำ และ กลับไปกร่นด่าว่าร้ายสภาพใหญ่ของกลไกตลาดและระบบทุนนิยมแทนเสียได้ ประหลาดดีแท้ แต่ถ้าหากว่าพูดถึงสภาพจิตใจแล้วอาจจะเสียขวัญไปมาก และ ไร้แนวทางจะควบคุมได้ อย่างช่วยไม่ได้ มันน่าเศร้าเสียเหลือเกินกับความรู้สึกนี้ในฐานะของประชากรโลก แต่สุขภาพกายนั้นกลับทางกันคือ มันดีขึ้นเอามากๆ เพราะ กลัวตายจากโรคระบาดนี้มาก มากถึงระดับที่ว่า ต้องมาลดคความเสี่ยงทุกแบบที่เราจะทำเองได้ เช่น สวมหน้ากากสองชั้น เมื่อออกนอกบ้านไปยังสถานที่เสี่ยงภัย ลดความเสี่ยงจากภายในร่างกาย คือ การลดน้ำหนัก ปรับความดันให้น้อยลง บริโภคอาหารแบบสุขภาพดีที่สุดเท่าที่ข้อมูลในโลกอินเตอร์เน็ตจะบอกกับเราได้ ผ่านช่อง Youtube ของคุณหมอต่างๆที่ประดังประเดเข้ามา เพราะ เราเริ่มสนใจเรื่องการพัฒนาสุขภาพของตัวเอง ออกแรงเลือกของกินที่ลดน้ำหนักได้จริง (และน้ำหนักลดไปแล้วกว่า 7%ของน้ำหนักเดิมและเกือบทั้งหมดเป็นไขมันเปลวตามร่างกาย) การลดน้ำหนักลงนี้ได้ เพราะกลัวตายจากโรค เพราะต้องการลดความเสี่ยงของโอกาสการตายเมื่อติดโควิด มันเป็นแรงผลักดันได้มากจริงแท้ มันจะใช้ได้จำเพาะสำหรับคนที่ไม่อยากจะเสี่ยงเท่านั้น แน่นอนว่า ยังมีเยอะคนที่มองว่า มันไม่ได้เสี่ยงอะไรเท่าไหร่ และ ไม่ต้องคิดมากเรื่องอะไรแบบนี้ แต่นั่นคือคนอื่นเขาคิด และ มันเป็นสิทธิ์ของแต่ละคนที่จะคิดได้ แต่ถ้าหากว่าเราเลือกใช้สถานการณ์ให้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้ในระยะยาวก็น่าจะดีกว่าอยู่ดีแหละ 

รอดูอีก 8 สัปดาห์ว่าสถานการณ์มันจะดีขึ้นได้หรือเปล่า หรือจะเกิดอุบัติการณ์กลายพันธ์ที่ชนะวัคซีนได้หรือเปล่า กลับต้องมาลุ้นกันต่อไป เรียกได้ว่า เราอาจจะหวังให้โลกนี้กลับมาเหมือนเดิมไม่ได้อีกก็เป็นไปได้ แต่เราจะปรับตัวอยู่กับโรคระบาดระยะ 3-5 ปีได้ยังไงอาจจะต้องเป็นเรื่องที่ต้องคิดแล้วแต่อาจจะยังไม่ต้องจริงจังอะไรเอาไว้รอดูว่า ถ้าหากว่าเกิดอุบัติการณ์ไวรัสพัฒนาชนะวัคซีนขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ค่อยมาคิดวางแผนกันจริงจังก็ได้เช่นเดียวกัน อ่อ … ยังมีความหวังอีกอย่างก็คือ ยารักษาที่ประสิทธิภาพสูงเหมือนว่าก็เริ่มมีการพัฒนาออกมาได้เป็นเฟสสองแล้ว ซึ่งมันก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ไม่ได้แคร์การพัฒนาปรับเปลี่ยนของไวรัสก็อาจจะเป็นทางเลือกของสวรรค์ที่จะกำหนดให้กับโลกใบนี้ได้ด้วยเช่นเดียวกัน … เอาไว้รอดูกันต่อไปก็แล้วกัน 

Submit your comment

Please enter your name

Your name is required

Please enter a valid email address

An email address is required

Please enter your message

rackmanagerpro.com © 2024 All Rights Reserved

Rackmanagerpro.com all right reserved 2007 - 2019

Copyright by Rackmanagerpro.com

Content Creted by Rackmanagerpro.com