ทำไม Uber อยากจะให้ท่านได้รับดาว 5 ดาวเกือบทุกครั้งที่รับส่งผู้โดยสาร
โดยปกติแล้วแนวคิดอูเบอร์เอง พยายามที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางด้วยการเรียกรถผ่านแอพพริเคชั่นของอูเบอร์ และ ประสบการณ์อีกส่วนหนึ่งจะเกิดขึ้นตอนที่ลูกค้าอยู่ระหว่างการเดินทางนั่งอยู่ในรถ และมีปฏิสัมพันธ์กับคนขับรถนั่นเอง ถ้าหากว่าลูกค้าไม่ประทับใจจากการเดินทางในส่วนนี้แล้วหรือได้รับประสบการณ์ที่น้อยกว่าที่คาดหวังเอาไว้แต่แรก มีแนวโน้มอย่างมากที่ลูกค้าที่นั่งรถ UBER จะให้ดาวต่ำกว่าระดับห้าดาวได้ (เช่นสีดาวหรือสามดาวแล้วแต่ความไม่ประทับใจนั้น) แต่ในทางตรงกันข้ามการได้มาซึ่งดาวระดับห้าดาวในการขับผู้โดยสารกับทางอูเบอร์นั้นไม่ได้ยากเย็นสักเท่าไหร่ เพราะคนส่วนมาก จะเอาประสบการณ์การนั่งรถโดยสารประเภทแท็กซี่่มาเป็นตัวเทียบเป็นหลัก ซึ่งท่านเองก็น่าจะพอทราบได้เป็นอย่างดีว่า ถ้าหากว่าท่านเป็นคนขับรถแล้ว ท่านน่าจะมีพฤติกรรมในการขับขี่ที่ดีกว่าคนขับรถแท็กซี่มืออาชีพที่อยู่ภายใต้สภาวะกดดันทางเศรษฐกิจ และความหนาแน่นของจราจรของกรุงเทพมหานครได้ไม่ยากเลย
สำหรับคนที่ยังไม่ได้สมัครเป็นคนขับรถ UBER ให้เข้าไปอ่านวิธีการสมัคร UBER แบบได้เงินตอนสมัครได้ในเนื้อความที่เคยพิมพ์ไว้ หรือกด banner ด้านล่างนี้เพื่อสมัครทันที
เพื่อที่ท่านจะให้ได้ดาวมากกว่าค่า 4.8 ตลอดเวลา (หรือจะดีกว่านั้นคือท่านได้ระดับ 5 ดาวเกือบทุกครั้ง) นี่เป็นคำแนะนำที่คนที่ขับ UBER ทั่วโลกแนะนำต่อๆกันมา
ก่อนอื่นอาจจะต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ทำไมท่านถึงอยากจะได้ห้าดาวในการรับลูกค้า ทั้งนี้ก็เพราะว่า UBER จะกรองทั้งคนขับรถ UBER และ คนนั่งรถ UBER ด้วยระบบการให้คะแนนทั้งสองฝ่าย และ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีปัญหามากๆ ดาวโดยเฉลี่ยน้อยแล้วล่ะก็ บุคคลนั้น (ไม่ว่าจะเป็นคนนั่งที่เป็นลูกค้า หรือว่าเป็นคนขับที่หารายได้ระบบ UBER PARTNER) ก็จะต้องโดนไล่ออกมาระบบ ไม่สามารถใช้งาน UBER ได้อีกต่อไป เรียกได้ว่า มันจะซีเรียสมากสำหรับคนขับรถ UBER เลยหากว่าท่านคาดหวังว่าจะหารายได้จากการขับรถ UBER เป็นอาชีพหลัก (หรือรองก็ตาม) ดังนั้นแล้วการที่ท่านได้ดาวระดับห้าดาวจะทำให้ท่านปลอดภัยในการหารายได้กับระบบ UBER ต่อเนื่องยาวนาน โดยไม่เกิดปัญหากับส่วนกลางของ UBER แต่อย่างใด
จากบทความทั่วโลกมักจะได้รับคำแนะนำเพื่อให้ท่านทีขับรถ UBER ได้ 5 ดาวทุกครั้งแยกออกมาเป็นเรื่องๆได้ดังต่อไปนี้
เริ่มต้นตั้งแต่การรับลูกค้าที่ไม่ล่าช้าเกินไป :
เมื่อคนเรียกรถ UBER แล้วมากจะคาดหวังเวลาเป็นนาทีตามที่ในแอพพลิเคชั่นแสดงอยู่ โดยมากแล้วจะมีระยะเวลาไม่เกิน 15 นาที ซึ่งเวลาที่แสดงอยู่ในนั้นจะไม่ค่อยจริงสักเท่าไหร่เพราะไม่ได้พิจารณาเรื่องรถติดหรือเส้นทางเดินรถในบางกรณีจะไม่สามารถเดินรถได้ ทำให้เวลาที่แสดงต่อลูกค้าจะมีแนวโน้มน้อยกว่าที่คนขับรถจะเดินทางไปได้จริงอยู่บ้าง โดยหลักการแล้ว ท่านมีสิทธิ์ที่จะไม่รับคน โดยการไม่กดหรือสัมผัสหน้าจอใดๆที่ Uber Partner App แล้วปล่อยให้ลูกค้าถูกกดคนรับโดยคนขับรถ UBER คนอื่น แน่นอนว่า นี่เป็นการทำให้ท่านพลาดโอกาสในการได้รายได้จากการรับลูกค้ารายนั้นก็จริง แต่ถ้าหากว่าท่านอยู่ในพื้นที่ที่รถติดมากเป็นพิเศษ หรือ อยู่บนทางด่วน และไม่สามารถหาทางลงเพื่อไปรับลูกค้าได้แน่นอน เพราะจะต้องอ้อมไกลมากๆ ท่านก็จะไม่เหมาะที่จะรับลูกค้ารายดังกล่าวอยู่ดี อย่างไรก็ดี แนวโน้ม คือทาง UBER ต้องการให้ท่านรับลูกค้าให้ได้มากที่สุด และเร็วที่สุดอยู่แล้ว แต่หากท่านพิจารณาแล้วว่าต่ำแหน่งที่ท่านอยู่นั้นขัดกับการเดินทางไปยังพิกัดของลูกค้ารายที่เรียกอยู่แล้วล่ะก็ การปฏิเสธไม่ได้กดรับลูกค้าก็เป็นทางเลือกหนึ่ง ที่่ท่านจะลดโอกาสการได้ผู้โดยสารที่จะให้ดาวต่ำกว่าห้าดาวกับท่านได้ท่างหนึ่ง
โทรหาลูกค้าเกือบจะในทันทีที่ท่านเลือกรับลูกค้ารายนั้น :
การโทรหาลูกค้าจะทำให้ท่านเองก็สามารถมั่นใจได้ว่า ตำแหน่งของลูกค้าอยู่ตามหมุดที่ได้ปักเอาไว้ใน application จริง ไม่ได้เป็นการเลื่อนหมุด หรือพิกัดเป็นแค่พิกัดประมาณการ เพราะหากพิกัดนั้นเกิดเป็นพิกัดที่ไม่แน่นอน แล้วล่ะก็ท่านจะเดินทางไปพบลูกค้าได้ล่าช้ากว่าปกติเป็นแน่แท้ (และทำให้โอกาสที่ท่านจะไม่ได้ห้าดาวสูงขึ้นอีกด้วย) เมื่อท่านโทรไปหาลูกค้า จะมีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ด้วยกันสองประเภทคือ
1.) ลูกค้ารายนั้นเรียก UBER เพื่อตัวเอง : สำหรับกรณีนี้ท่านต้องถามลูกค้าว่า ท่านลูกค้าอยู่ถนนไหน ตึกไหน เป็นไปตามพิกัดที่แสดงไว้ใน app หรือไม่ (แต่แนะนำว่าอย่างเชื่อลูกค้ามากถ้าหากว่าเค้าบอกว่าให้เดินทางมาตามพิกัดเลยก็ให้ถามย้ำกลับไปอยู่ดีกว่า อยู่ที่อาคารนั้นหรือถนนนั้นจริงๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า ลูกค้าบางรายก็ไม่ได้รู้เรื่องพิกัดอะไรที่ว่านี้หรอก แต่่ว่าถ้าหากว่าเราถามไป แล้วบอกว่าไม่รู้จัก ไม่่รู้ แค่ดูเหมือนว่าจะเสียฟอร์มในการในเทคโนโลยี) / นอกจากนี้ให้ท่านแจ้งด้วยว่า ถ้าหากว่าไปถึงใกล้ๆแล้วจะติดต่อไปอีกครั้ง หรือ หากท่านไม่แน่ใจในเส้นทางเดินทางไปยังจุดที่ลูกค้าเรียกจะต้องถามเส้นทางจากลูกค้าก็สามารถทำได้ แต่ก็อย่าคาดหวังว่า ลูกค้าจะบอกเส้นทางได้ทุกกรณี
2.) ลูกค้ารายนั้นเรียก UBER เพื่อคนอื่น : สำหรับกรณีนี้ ลูกค้าที่เรียกให้คนอื่น มีแนวโน้มเป็นอย่างมากว่า พิกัดที่เลือกปักหมุดเพื่อให้่ท่านเดินทางไปหานั้นจะมีแนวโน้มที่ผิดพลาดไม่ถูกต้อง ทำให้ประเด็นท่านต้องถามลูกค้ารายนั้นก็คือ เบอร์โทรศัพท์ของคนที่จะให้ไปรับใครเบอร์อะไร ชื่ออะไร และ อาคารหรือสถานที่ ที่จะให้ไปรับนั้นคือที่ใดๆกันแน่? เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่าท่านสามารถที่จะเดินทางไปพบลูกค้าเป้าหมายได้จริงตามเวลาที่ทางลูกค้ารับรู้
เมื่อพบลูกค้าแล้วหากท่านสามารถเปิดประตูได้ก็ให้เปิด :
สำหรับเรื่องเปิดประตูนั้น เมืองไทยดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะสมกับการกระทำนี้สักเท่าไหร่ เนื่องด้วยสภาพของการจราจรนั้นไม่ค่อยจะให้เดินลงจากรถแล้วอ้อมไปเปิดประตูให้ลูกค้าได้สักเท่าไหร่นัก แต่ว่า ถ้าหากว่าท่านสะดวก แนะนำว่าหากท่านได้เปิดประตูให้ลูกค้าแล้ว จะทำให้เกิดความประทับใจมากเป็นพิเศษ (เพราะนั่นมันเป็นระดับการบริการระดับลีมูซันกันเลยทีเดียว) แต่สำหรับ UBER BLACK ที่ถูกเรียกไปที่สนามบิน หรือโรงแรม ห้องพัก ที่มี LOBBY ท่านสามารถที่จะลงไปเปิดประตูได้ ลูกค้าจะเริ่มคาดหวังให้ท่านมาบริการยกของเช้ารถ และเปิดประตูให้อยู่แล้ว ซึ่งกรณีนี้จะกลายเป็นเรื่องที่ท่านจำเป็นต้องทำในฐานะคนขับรถอูเบอร์ระดับบริการแบบลีมูซีน
Tips :
เมื่อลูกค้าของท่านพบท่านแล้วให้ลองเรียกชื่อของลูกค้าเพื่อที่เราจะมั่นใจได้ว่าลูกค้าที่เข้ามาพบท่านเป็นคนเดียวกันกับที่เรียกท่านจริงๆ ทั้งนี้ท่านจะรู้ชื่อจาก Uber Partner app ตอนแรกที่ท่านกดปุ่มรับ และ จะแสดงชื่อนี้อยู่ตลอดเวลาในหน้าจอของ Partnet Uber App ทั้งนี้ท่านอาจจะแปลกใจว่า ทำไมท่านต้องอยากจะคอมเฟริ์มว่า คนที่เรียกท่านนั้นคือคนที่ท่านเห็นจริงๆ เพราะ เหตุการณ์ที่คนขับรถ UBER รับลูกค้า UBER ผิดคนนั้นเคยเกิดขึ้นแล้ว ณ พื้นที่ที่มีความหนาแน่นของลูกค้า เช่น อาคารสำนักงานในพื้นที่สาทรในเวลากลางวัน หรือเวลาเย็น หรือแม้กระทั่งสนามบิน เป็นต้น ถ้าหากว่าลูกค้านั่งรถผิดคัน หรือ คนขับรถรับลูกค้าผิดคนแล้ว จะทำให้การเดินทาง และเรียกตัดเงินผิดคนทำให้เปิดปัญหาเรื่องเงินๆทองๆต่อมาในภายหลังที่จะต้องมาเครียร์กับทางศูนย์ของ UBER อีก เรียกได้ว่า ไม่คุ้มค่าเสียเวลาที่จะต้องจัดการกับเรื่องพวกนี้ เพียงแค่ท่านทักชื่อของลูกค้าไปเท่านั้น ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้นกับท่านและลูกค้าของท่านเลย
เพื่อห้าดาวแล้ว ให้เรียกลูกค้าว่า “ท่าน” “คุณผู้ชาย” หรือ “คุณผู้หญิง”
เพื่อประสบการณ์สุดยอดในการนั่งรถ UBER แล้ว สรรพนามที่คนขับรถจะเรียกคนนั่งรถ จะต้องได้รับการอัพเกรดมาเพื่อทำให้รู้สึกว่า หรูหราในการเดินทาง โดยที่ท่านไม่ต้องลงทุนแต่อย่างใด ! แค่เรียกลูกค้าว่า “ท่าน” แค่นั้นเอง คุณจะไม่เชื่อว่าแค่การกระทำแค่นี้จะทำให้ท่านได้ห้าดาว โดยที่ไม่ต้องออกแรงอะไรเพิ่มเติมสักเท่าไหร่นัก
คนขับรถ UBER สามารถถามเส้นทางลูกค้าได้เลย !
แน่นอนว่าถ้าหากว่าท่านเป็น UBER มื่อใหม่จะไม่รู้เส้นทางการเดินทางทั่ว กทม สักเท่าไหร่ และ เหมือนว่าลูกค้าก็พอจะเข้าใจอยู่ประมาณหนึ่งว่า คุณเป็นมือใหม่ด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ดี แม้นว่าคุณเป็นมือเก่ามือเก๋า หรือเคยเป็นคนขับรถโดยสารประเภทอื่นๆมาก่อน การถามเส้นทาง หรือให้ลูกค้าแนะนำเส้นทาง ก็ยังเป็นการกระทำที่เหมาะสมอยู่ดีในเชิงความรู้สึกของลูกค้า โดยให้ท่านบอกเส้นทางกับลูกค้าของท่านคร่าวๆว่า ท่านกำลังจะเดินทางไปยังเป้าหมายด้วยเส้นทางใด เพื่อถามความเห็นว่าลูกค้าโอเคกับเส้นทางนี้ด้วยหรือไม่ เพราะถ้าหากว่าเค้าโอเค แล้วเส้นทางนั้นเกิดรถติด หรือโดนกั้นถนน หรือมีปัญหาอะไร ลูกค้าก็จะไม่คิดว่าเป็นความผิดของเราแต่เพียงฝ่ายเดียว ((โกรธคนขับไม่ได้ว่าอย่างงั้น เพราะถามกันแล้วว่าจะเดินทางมาเส้นทางนี้) แต่ถ้าหากว่าคุณไม่รู้ทางเลย และ ลูกค้าก็ไม่รู้ทางเช่นเดียวกัน แนะนำว่าให้เปิด App Google Maps แล้ววิ่งตามนั้นได้เลย
อย่าคุยหากลูกค้าไม่ได้ชวนคุณคุยอะไรด้วย
เรื่องการเมือง เชื้อชาติ ศาสนา และความเชื่อเป็นเรื่องที่ห้ามคุยเด็ดขาด เพราะเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดการทะเลาะได้ง่ายที่สุด แต่จะดีกว่านั้น ถ้าหากว่าคุณไม่ได้คุยกับลูกค้าเลย ให้นั่งเงียบๆและตั้งใจขับรถ เพราะแท้ที่จริงแล้ว ลูกค้าต้องการความปลอดภัยในการเดินทางและเดินทางไปถึงเป้าหมายได้ด้วยสวัสดิภาพ การที่คุณคุยเรื่องใดๆ หรือ เอามือถือมากดๆ จะทำให้รู้สึกว่า การนั่งรถครั้งนั้นปลอดภัยน้อยลงในทันตา ดังนั้นแล้ว อยากจะย้ำว่าหากว่าลูกค้าไม่ได้ชวนคุยก็อย่าไปคุยกับลูกค้าเป็นการดีทีสุด
ทำตัวเป็นผู้ใช้รถใช้ถนนที่ดีกับพฤติกรรมการขับขี่ที่ปลอดภัย
การขับขี่ที่ปลอดภัยเป็นเรื่องที่ผู้โดยสารต้องการเป็นพื้นฐาน นั่นแปลว่า ถ้าหากว่าคุณมีพฤติกรรมที่ดูเหมือนว่าเป็นนักซิ่ง จอมแว้น ตัวป่วนบนถนน หรือ นักเลงเที่ยวว่าคนคันอื่น จะทำให้ตัวคุณในสายตาของลูกค้านั้นดูแย่ลงไปโดยฉับพลันทันที เพราะฉะนั้นแล้ว จงขับรถด้วยความเร็วที่เหมาะสม และ ไม่ต้องเร่งร้อนหรือแซงรถุคันอื่นอย่างฉวัดเฉวียน แค่นี้ก็ทำให้ผู้โดยสารของคุณได้รับประสบการณ์ที่ดีในการโดยสารรถอูเบอร์กับคุณที่เป็นคนขับระดับคุณภาพห้าดาวแล้ว
Tips : รถของคุณต้องสะอาดทั้งรูปลักษณ์ภาพนอก และภายใน นอกจากนี้จะต้องไม่มีกลิ่นบุหรี่ แต่ถ้าหากว่า รถของคุณมีกลิ่นไม่พึงประสงค์อยู่แล้ว คุณอาจจะจำเป็นต้องนำรถของคุณไปอบโอโซนจำกัดกลิ่นไม่พึงประสงค์เหล่านั้นด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่มากมายอะไรนัก ถือได้ว่าคุ้มค่าในการลงทุนกำจัดกลิ่นเป็นอย่างมาก
ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นหลักสำหรับคนที่อยากจะขับรถ UBER ให้ได้ดาวอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แนวคิดหลักมีเพียงแต่ว่า ทำการสร้าวประสบการณ์ต่อผู้โดยสารให้ออกมาดีที่สุด โดยใช้พื้นฐานของรถแท็กซี่เป็นพื้นฐานต่ำสุด
สมัครเป็นคนขับรถ UBER โดยได้รับค่าสมัคร (หลังจากที่ท่านได้ขับรถแล้ว) เพิ่มเติมอีก 1000 บาทต่อท่าน ข้อย้ำว่าได้เงิน ไม่ใช่เสียเงินค่าสมัคร >> ได้จากลิงค์สมัครคนขับรถอูเบอร์นี้ (หากท่านไม่ได้กรอกโค้ดจะไม่ได้ค่าสมัครเพิ่มเติมนี้ ท่านจำเป้นต้องได้โค้ดแนะนำจากบทความนี้เท่านั้น)
CODE สำหรับขับ UBER แล้วได้เงินเพิ่ม คือ dkhwpe96n
คุณจำเป็นต้องสมัครแกร็บผ่านลิงค์นี้เท่านั้นเพื่อที่จะสามารถเริ่มขับได้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปยังเบอร์มือถือของท่านเพื่อยืนยันเบอร์โทรศัพท์ติดต่อมือถือ กรอกฟอร์มสมัครได้ที่นี่