อาการอยากของหวานหรือช็อกโกแลต เป็นปัญหาที่หลายคนต้องเผชิญ โดยเฉพาะช่วงบ่ายแก่ๆ หรือช่วงเย็น ความรู้สึกอยากทานของหวานแบบห้ามไม่อยู่ ทำให้หลายคนรู้สึกผิดและโทษตัวเอง แต่ความจริงแล้วอาการเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของคุณเลย ความลับของความอยากอาหารซ่อนอยู่ใน ระดับน้ำตาลในเลือด
ระดับน้ำตาลในเลือด: กุญแจสำคัญในการควบคุมความอยาก
งานวิจัย “Circulating glucose levels modulate neural control of desire for high calorie foods in humans” เผยให้เห็นว่า เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลง สมองส่วนที่ควบคุมความอยากอาหารจะถูกกระตุ้น นั่นหมายถึงยิ่งระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมากเท่าไหร่ ความอยากอาหารก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลอรี่สูง เช่น ช็อกโกแลต ของหวาน หรืออาหารที่มีไขมัน
นอกจากนี้ การทานของหวานจะทำให้ร่างกายหลั่ง โดปามีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ความรู้สึกดีที่ได้รับจากโดปามีนทำให้เกิดพฤติกรรมการทานของหวานซ้ำๆ ยิ่งทานก็ยิ่งอยากทาน กลายเป็นวงจรที่ควบคุมได้ยาก
Glucose Hacks: ทานช็อกโกแลตอย่างไร ไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่ง
คำถามสำคัญคือ เราจะทานช็อกโกแลต หรือของหวานที่ชอบได้อย่างไร โดยไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง คำตอบคือ Glucose Hacks เทคนิคง่ายๆ 10 ข้อ ที่จะช่วยให้คุณทานของหวานได้อย่างชาญฉลาด
ตัวอย่าง Glucose Hacks:
-
ทานของหวานเป็นของหวาน: ทานหลังมื้ออาหาร ไม่ใช่ตอนท้องว่าง การมีอาหารอื่นๆ ในกระเพาะจะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
-
เพิ่มโปรตีน ไขมัน หรือไฟเบอร์: การเพิ่มโปรตีน ไขมัน หรือไฟเบอร์ ในมื้ออาหารที่มีของหวาน จะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นช้าลง
โปรตีน: ตัวช่วยสำคัญในการควบคุมความอยาก
สมมุติฐาน Protein Leverage Hypothesis ระบุว่า ร่างกายต้องการโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอ หากได้รับโปรตีนไม่พอ ร่างกายจะส่งสัญญาณให้ทานอาหารมากขึ้น
Savory Breakfast: ตัวช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความอยากอาหารตลอดวัน คือ อาหารเช้าที่เน้นโปรตีน มีไขมันบ้างเล็กน้อย สามารถเพิ่มแป้งได้บ้าง แต่ควรหลีกเลี่ยงของหวาน ยกเว้นผลไม้สด