แต่ก่อนเราจะมีพฤติกรรมที่ไม่ได้อยู่ติดบ้านมากนัก ตั้งแต่เรียนถึงทำงาน เพราะ กิจกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมด หล่อหลวมคนเราเพื่อให้เดินทางและ มีการพบปะผู้คนผ่านการเข้าไปคุยแบบเห็นหน้าคร่าตากัน นอกจากนี้ มันยังเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมไทยเราอีกด้วยที่ว่า เราจะต้องมีการพบปะผู้คน เข้าไปเยี่ยมผู้ใหญ่บ้างเพื่อเป็นการสานสัมพันธ์เอาไว้ คนที่มี networking ที่ดี จะมีการเดินทางเข้าหาและพบปะผู้คนแบบซึ่งหน้าเป็นประจำถึงจะมองได้ว่า เราทำการ network เชื่อมต่อผู้คนเข้ากับเครือข่ายของเราเองได้ดี
แต่สำหรับยุคหลังๆมานี้ เราเริ่มมีการใช้ สื่อต่างๆ เช่นสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆเข้ามาแทนการปฏิสัมพันธ์แบบเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นการ chat ผ่านระบบ LINE หรือการ Live หรือแม้กระทั่ง VDO CALL ผ่านระบบกล้องมือถือที่ทุกคนมีติดอยู่ที่มือของเรา ทำให้เราสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้แต่จะอยู่ไกลกันก็ตามทีโดยไม่ต้องเดินทางไปมาหาสูกันเลยก็ยังสามารถทำได้

เมื่อเจอปรากฏการณ์ของโรคระบาดร้ายแรง แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต ที่เราเรียกว่า COVID19 ทำให้ภาครัฐมีการกำหนดมาตราการเพื่อลดโอกาสการแพร่กระจายของโรคลงด้วยการ กำหนดให้เกิด Social Distancing หรือ การกระจายตัวของสังคม ไม่ให้เข้ามาทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม หรือหมู่คณะ เพื่อไม่ให้ไวรัสแพร่ะกระจายระหว่างคนสู่กลุ่มคนอื่นๆที่ไม่ได้มีภูมิคุ้มกันของโรคนี้อยู่ และ ได้มีการออกมาตราการ ที่สำคัญ คือ การปิดห้าง ปิดสถานที่มีการพบปะของผู้คน การจัดสัมนาฯลงทั้งหมด เช่น ร้านอาหาร ร้านนวด สปา และร้านอื่นๆที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เว้นแต่ supermarket ที่ยังดำเนินการเป็นปกติ และ อาจจะมีคนเดินเข้าออกพื้นที่น้อยลง เพราะ คนแต่ละคนก็ต้องการเว้นระยะห่างระหว่างกันและกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการป้องกันกระจายตัวของโรค ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องดีต่อกาารลดโอกาสของโรคระบาดดังกล่าว
เริ่มมีการใช้งาน Work From Home อย่างแท้จริง

ผู้คนมากมาย เริ่มมีการทำงานที่บ้านด้วย internet ที่มีความเร็วเพียงพอ ต่อการ streaming หน้าคอมพิวเตอร์ของตนเอง หรือ แสดงหน้าท่าทางของตัวเองได้ผ่าน webcam ที่มีอยู่ได้ เหมือนกับได้นั่งคุยกัน อย่างไรก็ดี จะไม่เหมือนกับการเข้ามาคุยกันเสียทั้งหมดก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่า มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการประสานงานทั่วไปได้พอประมาณแต่ จะไม่ถึงระดับระดมสมองเท่าไหร่นัก เพราะเนื่องจาก เราไม่รู้หรอกว่า หน้าจอแต่ละคนนั้นเป็นอะไร มีการเปิดอะไรกันอยู่ มีสมาธิต่อการประชุมมากน้อยเพียงใด เนื่องด้วย เราไม่ได้เห็น “กายหยาบนั่งให้เห็นกันทั้งตัวในสภาพแวดล้อมเดียวกัน” อยู่ดี!
โปรแกรมสำหรับการประชุม online มักจะเป็น Zoom หรือ Webex แต่สำหรับคนไทย เราเน้นการใช้งานที่สนุกว่า แนะนำใช้ Zoom เพราะ มันมีฟังก์ชั่นสนุกๆมากกว่า เช่น การเปิดเพลงเพื่อแชร์กัน หรือการเปลี่ยน background บ้านรกๆด้านหลังให้มองไม่เห็น แล้วเอาภาพอื่นแสดงแทน เราอยากจะมี background ออกมาเป็นสถานที่ไหนก็ได้ เพื่อไม่ให้คนอื่นๆที่ประชุมด้วยเหตุสภาพบ้านอันน่าอับอายของเรา ! (มันรกและมีคนวิ่งไปมาเดินผ่านหน้ากล้องและหลังกล้องระหว่างการประชุมทำให้มันเสียสมาธิไปมากทีเดียว)
นอกจากนี้หัวหน้างานจะมีการติดตามงานด้วยวิธีการต่างๆซึ่งมันมีหลากหลายเอามากๆ แล้วแต่สภาพของเนื้องานว่าเป็นแบบใด แต่ข้อดีของระบบ Work From Home นี้ก็เพื่อลดการระบาดของโรคแบบจริงจัง แต่ ยังคงสภาพการดำเนินการธุรกิจได้เหมือนเดิม หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงเดิมได้เท่าที่สภาพของเครื่องมือตัวช่วยต่างๆจะช่วยได้
ข้อดีของการ Work From Home สำหรับพนักงาน

ที่เห็นๆ คือ ลดการเดินทางลงไปแบบเป็น 0 เลยก็ว่าได้ เพราะ ไม่ต้องเดินทางเข้าสำนักงาน แต่ต้องทำงานอยู่ที่บ้าน โดยมีการจัดพื้นที่เพื่อแยกส่วนทางจิตวิทยาว่า นี่คือ พื้นที่สำหรับการทำงาน เพื่อแยกแยะ เวลาทำงาน และ กิจกรรมการทำงานออกจากพื้นที่ส่วนตัว หรือ กิจกรรมส่วนตัวอื่นๆออกไปได้ แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่มีพื้นที่เพียงพอ เพื่อแยกส่วนระหว่างห้องทำงาน (หรือพื้นที่ทำงาน) กับกิจกรรมอื่นๆ เราอาจจะหา “สัญลักษณ์” ของการบอกตัวเองและผู้อื่นได้ว่า นี่คือ เวลาที่เราเริ่มงานได้เช่นเดียวกัน
ปรากฏการณ์โดยบังคับ Work From Home แบบนี้จะทำให้ทั้งองค์กรบริษัทห้างร้านได้หาแนวทางและ implement ใช้งานระบบ Work From Home กันอย่างจริงจังอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ถ้าหากว่า มีผลดีต่อทั้งองค์กรและพนักงานเอง บางองค์กรอาจจะทำหนด เวลาทำการแบบ Work From Home เข้าไปกับกลุ่มพนักงานที่สามารถทำงานจากที่บ้านได้เป็นมาตราฐานในอนาคตได้เช่นเดียวกัน ซึ่ง มีกลุ่มเจ้าขององค์กรที่หลากหลายอุตสาหกรรมเริ่มมีแนวคิดนี้แล้ว! เพราะมันเห็นผลว่า พฤติกรรมการทำงานจากที่บ้านก็มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ถ้าหากว่าสามารถติดตามเนื้อหา และ มีการตรวจสอบพฤติกรรมการทำงานได้เหมือนกับที่เขาเหล่านั้นเข้ามาทำงานที่สำนักงานหลักเช่นเดียวกัน และ ความคิดเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการทำงานของพนักงานทั่วโลกเลยก็ว่าได้ และ มันได้รับยอมรับที่มากขึ้นว่า การทำงานนั้นมิได้ขึ้นกับสถานที่แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังคงเอาไว้ซึ่งการอุทิศเวลาทำงาน และ ความตั้งใจทำงานที่อยู่ตรงหน้าได้เหมือนเดิม แต่เขาเหล่านั้นจะอยู่ที่บ้าน หรือ อยู่ระหว่างการเดินทางก็ตามที
การระบาดของโรค COVID19 นี้ได้ทำให้พฤติกรรมหลักของคนทำงาน ที่ต้องเข้าออกการทำงานที่สำนักงานเท่านั้น ได้รับการทดสอบว่า มันไม่ได้จำเป็นมากขึ้นขนาดนั้น และ บริษัทต่างๆ สามารถออกกฏเพื่อให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้จริงๆ สำหรับตำแหน่งที่หลากหลาย โดยไม่ได้มีผลกระทบต่อเนื้องาน หรือ ในบางกรณีกลับยังผลให้เกิดประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน