เรื่องจำเป็นที่ต้องรู้สำหรับการแปลงบ้านให้เป็น Smart Home

แนะนำ smart home 101
แนะนำ smart home 101

สำหรับบ้านที่คิดอยากจะติดตั้งระบบ Smart Home ในปี 2020 นั้นถือได้ว่าทำง่ายกว่าเมื่อสิบปีก่อนมากๆ เพราะ เนื่องด้วยราคาสินค้าพวกเครื่อง Smart Home หร่ืออุปกรณ์ต่างๆนั้นราคาถูกมากแล้ว เมื่อเทียบกับช่วงปีแรกๆของระบบ Smart Home สมัยก่อนที่ราคาเป็นหลักหมื่นเป็นต้นไป แต่ล่าสุด ถ้าหากว่า คุณต้องการระบบบ้านอัจฉริยะนั้น คุณสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆด้วยราคาหลักพันเท่านั้นเอง และ มันประหยัดด้วยเหตุผลที่ว่า การผลิตส่วนมากนั้นเกิดขึ้นอย่างเป็น mass production มากๆแล้ว ในโรงงานจีน และ มีแบรนด์ที่ผลิตออกมาและเข้าถึงตลาดได้มากด้วยราคาอุปกรณ์หลักร้อยเท่านั้น 

Smart Home คืออะไรกันเหรอ? 

ก่อนที่เราจะกล่าวถึงระบบ smart home กันจริงๆ เราต้องเข้าใจกันก่อนว่า smart home แท้จริงแล้วคืออะไรกัน โดยแนวคิดของ Smart home นั้นคือ การแปลงบ้านหรืออุปกรณ์ต่างๆให้สามารถพูดคุยหรือสั่งการกันเองได้ โดยที่เราเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์เหล่านั้นได้เอง เช่น เราสามารถกำหนดได้ว่าเมื่อเราเดินเข้ามาที่ห้องครัว ไฟในห้องครัวเปิดให้สว่าง หรือ เมื่อถึงเวลาสี่ทุ่มของวันหยุดหรือปิดไฟที่บ้านทั้งหมดลง เป็นต้น ทั้งนี้กฏเกณฑ์และความซับซ้อน รวมถึงความสามารถต่างๆนั้น จะขึ้นอยู่กับ “ฮับ” ของระบบว่า มันรองรับความซับซ้อนได้มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ อุปกรณ์ทั้งส่วนที่เป็นการกระทำ และ อุปกรณ์ที่เป็นเซนเซอร์ตรวจวัดนั้นมีติดตั้งหรือไม่ ณ ตำแหน่งใดเป็นต้น 

Smart Home นั้นมักจะถูกนำไปใช้แทนระบบกันขโมย

สำหรับคนที่มองหาระบบสัญญาณกันขโมยนั้น คุณอาจจะเลือกใช้ smart home system เข้ามาใช้แทนที่จะเป็นระบบกันขโมยปกติจะดีกว่า เพราะ ถ้าหากว่า คุณต้องการเพิ่มจุด หรือเพิ่มความสามารถของระบบเราเลือกที่จะเพิ่มอุปกรณ์เข้ามาได้เอง โดยเลือกซื้อระบบอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้ด้วยมาตราฐานการเชื่อมต่อ (เราอาจจะเรียกมาตราการการคุยกันนี้ว่า protocol) ได้ทั้งที่เป็นแบบ zigbee และ z-wave ซึ่งเราจะอธิบายต่อไปว่ามาตราฐานพวกนี้เอาไว้เพื่ออะไรแหละมันคืออะไรกันแน่ ? 

ระบบกันขโมยนั้น แท้ที่จริงแล้ว มันคือระบบ smart home ที่ง่ายที่สุด อันประกอบไปด้วย เซนเซอร์วัดการเคลื่อนไหวว่าเมื่อมีอะไรเคลื่อนไหวในบ้านในยามวิกาลที่ปกติแล้วจะต้องไม่มีคนเคลื่อนไหวแล้วก็ให้ระบบนั้นส่งสัญญาณเตือนมาที่มือถือของเรา หรือ อาจจะให้ไฟทั้งบ้านเปิดและมีการส่งเสียงร้อง alarm เตือนดังที่เครื่องไซเลนที่เราติดตั้งในบ้านก็ได้ หรือ หากประตูถูกเปิดออกในยามวิกาลให้ร้องเตือนหาเราผ่านโทรศัพท์มือถือ ก็ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ การออกแบบระบบและเงื่อนไขนั้นเป็นเรื่องของเจ้าของบ้านที่จะเป็นผู้ออกแบบเอง 

อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Smart Home จะแบ่งออกเป็นส่วนๆอะไรบ้าง ? 

เริ่มต้นระบบ smart home นั้นให้คุณเลือกที่ Hub เสียก่อนโดย ส่วนตัวแล้วแนะนำให้เลือก smart home hub (ฮับ) ที่ประกอบไปด้วยการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆด้วยมาตราฐานการคุยด้วยภาษา Zigbee และ Z-wave ของย้ำว่าเป็นระบบที่เรียกว่า “และ” เพราะเดี๋ยวนี้ Hub เดียว มันสามารถเชื่อมต่อได้สอง protocol นี้เป็นหลักและด้วยสอง protocol นี้แล้ว เราก็สามารถใช้กับอุปกรณ์ smart home เรียกได้ว่าครอบจักรวาลแล้วก็ว่าได้ 

Zigbee นั้นได้รับความนิยมมากกว่า z-wave สำหรับผู้ผลิตอุปกรณ์

ถึงแม้ว่าตอนนี้โลกของ Smart home นั้นจะมีสองมาตราฐานก็จริง แต่สำหรับผู้ผลิตอุปกรณ์ต่างๆให้กับ smart home แล้วนั้น มักจะเลือกผลิตออกมาเป็น Zigbee เสียมากกว่าเน่ื่องด้วยมันเป็นคลื่นที่ไม่ค่อยเป็นกฏหมายครอบเอาไว้สักเท่าไหร่นัก เพราะ มันใช้ช่วงประมาณเดียวกับ WIFI ปกติที่เป็นย่านความถี่ g ที่เรื่อง WIFI ทั่วไปปกติจะต้องมีกันอยู่แล้ว ซึ่งแตกต่างจาก Z-wave มากเพราะว่า ถ้าหากว่า ผู้ผลิตเลือกผลิต z-wave จำเป็นต้องกำหนดอีกว่าจะผลิตออกมาเป็น z-wave สำหรับย่านความถี่ไหน เพราะ ยุโรปก็กำหนดย่านหนึ่งและ USA ก็กำหนดอีกย่านหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้ผลิตลำบากมากสำหรับการผลิตอะไรที่เป็น mass production 

แล้วในเมื่ออุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่ผลิตในจีนนั้นรองรับ Zigbee แล้วเราต้องแคร์ z-wave หรือเปล่า ?

ส่วนที่เราต้องแคร์สำหรับ protocol ก็คือ Smart Home hub ว่า มันสามารถรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ทั้ง Zigbee และ Z-wave หรือไม่ เพราะ เดี๋ยวนี้อย่างว่ามาตราฐานนั้นมีสองระบบ ทำให้อุปกรณ์บางอย่างถ้าหากว่า มันดันมีแต่มันเป็น Z-wave (เช่นอุปกรณ์ที่เป็นสวิชไฟฟ้า หรือ relay สวิช) เราก็จำเป็นต้องต่อเชื่อมผ่าน Z-wave ได้นั่นเอง ทั้งนี้การเลือกเชื่อมต่อด้วย protocol อะไรนั้น ตัวเครื่องมันจะทำงานค้นหาของมันเองทั้งหมดอยู่แล้ว โดยที่เราไม่ต้องมากังวลเรื่องนี้ แต่ขอแค่ว่า เราจำเป็นต้องรู้ว่า ถ้าหากว่าเครื่อง smart home hub นั้นรองรับ z-wave แล้ว  เราต้องรู้ลึกกว่าอีกหน่อยว่า มันเป็น z-wave แบบ EU หรืแบบ USA เพื่อที่เราจะได้เลือกอุปกรณ์ที่เป็นคลื่นความถี่เชื่อมต่อกันได้ 

ทำไมอุปกรณ์ smart home ถึงต้องมาใช้ Zigbee หรือ Z-wave กันให้ยุ่งยากด้วยล่ะ ?

Mesh network สำหรับ smart home ด้วย Zigbee และ Zwave protocol

เนื่องด้วยความสามารถของ Protocol พวกนี้มันทำงานแบบ mesh network ได้นั่นเองเป็นปัจจัยหลักว่าทำไมพวกนี้ถึงใช้ protocol แบบนี้ เพราะงั้นแล้ว mesh network คืออะไรกันเหรอ ? เจ้า mesh network คือ การส่งและรับข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ผ่านเส้นทางที่หลากหลาย และ มันจะเลือกเส้นทางที่้ optimize หรือสะดวกสั้นและไวที่สุดได้ด้วยตัวอุปกรณ์ของมันเอง และ มันจะจำเส้นทางการส่งต่อข้อมูลกันเองได้ ให้นึกแบบนี้น่าจะเห็นภาพมากกว่า สมมุติว่า เราทำถนนและไฟที่ติดข้างถนนนั้นเป็นระบบแบบ  mesh network เราไม่ต้องให้ Hub ออกแรงส่งสัญญาณไปยังเสาไฟฟ้าที่ไกลที่สุดเพื่อให้ครอบคลุมถนนทั้งเส้น และ Hub มันก็แค่ส่งสัญญาณไปหาอุปกรณ์ zigbee ที่ใกล้ที่สุดแค่ตัวเดียว สำหรับกรณีีตัวอย่างที่เป็นเสาไฟฟ้าส่องสว่างนั่นก็คือ เสาต้นที่ใกล้สุด แล้วเสาต้นนี้ก็จะส่งต่อให้เสาต้นที่ใกล้ที่สุดต่อจากมัน จนกว่าจะส่งสัญญาณไปหาเสาต้นทุนแบบส่งต่อๆกันไปเป็นทอดๆ เมื่อเราปิดไฟเสาต้นสุดท้าย เหตุการณ์ของการส่งผ่านข้อมูลระหว่างกัน (เสาต่อเสาต่อเสาไปเรื่อยๆ) มันก็จะทำให้การควบคุมเปิดหรือปิดไฟนั้นเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องให้ coverage ของ Hub นั้นไกลยันเสาต้นสุดท้าย 

สำหรับกรณีที่เป็นบ้านเรือนนั้นวัตถุประสงค์อีกอย่างก็คือ มันสามารถส่งผ่านทะลุกำแพงหรืออ้อมประตูหากันได้ ด้วยเทคนิคเดียวกันที่มันเป็น mesh network protocol ที่ว่านี้ มันจะเลือกส่งสัญญาณระหว่างกันแบบที่สัญญาณไปถึงได้ดีที่สุด และ สะดวกที่สุด ทั้งนี้ หากเราใช้ อุปกรณ์ที่เป็น protocol เดียวกันมากจุด หรือมากตำแหน่งติดตั้งในบ้าน มันก็จะทำให้เราสามารถติดอุปกรณ์พวกนี้กระจายได้ทั่วบ้านได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากด้วยเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ยิ่งอุปกรณ์เยอะยิ่งดี และ แนวคิดนี้มันเหมาะกับ Smart home เอามากๆเลยก็ว่าได้ ! 

แล้วแนะนำเป็น Smart Home Hub ของอะไรดี ? 

กรณีที่คุณงบเยอะหน่อย จะแนะนำให้ใช้ Samsung Smartthings Hub ดีที่สุด เพราะ มันสามารถใช้งานได้ครอบคลุมและตั้งเงื่อนไขได้ซับซ้อนเอามากๆ ซึ่งส่วนตัวแล้วก็ใช้อุปกรณ์ตัวนี้เป็น Hub ใช้ยาวๆตั้งแต่เจ็ดปีก่อน ที่ออกมาเป็นรุ่นแรกๆก็ยังสามารถใช้งานได้เป็นปกติทุกประการ ไม่มีอาการเสียหายใดๆเลยก็ว่าได้ เพราะงั้นแล้ว หากมีงบจริงๆก็แนะนำเป็นของ Smartthings ช่วงราคาตั้งแต่สามพันกว่าบาทถึงห้าพันบาทโดยประมาณ ทั้งนี้ Smartthings Hub มันรองรับเหมือนกับที่ได้กล่าวไปคือ รองรับทั้ง Zigbee และ Z-wave 

แต่สำหรับกรณีต้องการใช้งานด้วยงบน้อยที่สุด แนะนำให้ Tuya Zigbee Gateway ซึ่งราคาไม่ถึงพันด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าห้าร้อยก็มีหรือราคาแปดร้อยก็มี (มีสองรุ่นตอนนี้) โดยมันต่างกันแค่ว่ามีใส่สาย LAN port ได้หรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าหากว่าเอาประหยัดสุดๆ มันก็จะจับ WIFI ได้อย่างเดียว และ การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ จะเป็น Zigbee เท่านั้น! แน่นอนว่า คุณต้องพึ่งพาอุปกรณ์ที่เขียนว่า เชื่อมต่อด้วย Zigbee แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เช่นเดียวกันเพราะ Hub ของคุณมันรองรับได้ protocol เดียวเท่านั้น

Tuya zigbee gateway สำหรับ Smart Home

แนะนำเซนเซอร์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบ้านเรือนเพื่อกันขโมย 

เนื่องด้วยประสบการณ์การใช้ Smart Home มาเป็นระยะเวลานาน เราจะพบได้ว่า เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวนั้นเป็นอุปกรณ์ที่ถ่านอึดที่สุด ซึ่งราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ติดตั้งได้หลายตัวในบ้านของเรา ใช่แล้ว คุณอาจจะนึกออกว่า สำหรับการกันขโมยนั้น เราจะติดตั้งอุปกรณ์ได้สองประเภทคือ เซนเซอร์ PIR motion sensor และ อีกแบบก็คือติดตั้ง Windows Door  Close/Open Sensor หรืออุปกรณ์ที่ิติดเพื่อดูว่าประตูเปิดหรือปิดอยู่ ซึ่งที่ผ่านมาถ่านของเจ้าเซนเซอร์ที่ดูสถานะของประตูเปิดปิดนั้นมันกินถ่านมากกว่ามาก และ ต้องเปลี่ยนถ่านบ่อย มันอาจจะเป็นเพราะ อุปกรณ์มันขนาดเล็ก เลยจำเป็นต้องใส่ถ่านได้ก้อนเล็ก และ ยังผลให้เราต้องไปเปลี่ยนถ่านมันบ่อยว่าอย่างงั้นน่าจะเหมาะสมกว่า ไม่เหมือนกับเครื่อง PIR motion sensor มันตัวใหญ่ทำให้เราสามารถใส่ถ่าน AAA ได้หลายก้อนและใช้กันยาวๆกันได้เลย

อุปกรณ์ที่แนะนำเบื้องต้นสำหรับระบบ Smart Home 

สำหรับรายการด้านล่างต่อไปนี้อยากจะบอกถึงเซนเซอร์และอุปกรณ์ต่างๆที่จะเอามาเชื่อมต่อกับ Smart Hub ของระบบ Smart Home เพื่อจะได้ไอเดียว่าเราสามารถที่จะกำหนดเงื่อนไขคำสั่งและสั่งงานอะไรได้อย่างไรบ้าง มาดูกันเลยดีกว่าว่า หากเรามี Smart Home Hub แล้วเราน่าจะมีเซนเซอร์หรืออุปกรณ์รอบบ้านอะไรบ้างเพื่อที่จะใช้ระบบ Smart Home นี้ได้อย่างคุ้มค่ากัน 

PIR motion sensor อุปกรณ์จับการเคลื่อนไหว

PIR motion sensor สำหรับ smart home

เซนเซอร์ตัวนี้จะทำหน้าทีี่จับการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตเป็นหลักก โดยจะต้องที่มวลแพร่ความร้อนประมาณหนึ่ง เรียกง่ายๆว่า ถ้าหากว่าเป็นหมาแมวอะไรพวกนั้นเดินผ่านหน้าตัวอ่านการเคลื่อนไหวแล้ว มันก็ไม่น่าจะรับสัญญาณอะไรเพื่อบอกว่ามีความเคลื่อนไหว เพราะงั้นแล้ว อาจจะเรียกได้ว่า เซนเซอร์นี้เอาไว้จับการเคลื่อนไหวของคนอย่างเดียวก็ว่าได้ ด้วยการจับการเปลี่ยนแปลงความร้อนที่พ่นออกมาจากร่างกายคนเท่านั้น

ส่วนตัวแล้วสำหรับการทำระบบกันขโมยด้วย Smart Home อยากจะแนะนำให้เอา PIR motion sensor เยอะตัวติดตั้งในแต่ละห้องของบ้านเป็นหลัก ไม่แนะนำให้ใช้ motion sensor ของกล้อง WIFI สักเท่าไหร่ เพราะ มันมีความผิดพลาดได้มากกว่าเยอะ หากเรากำหนด motion จากกล้องแทน (เกิดกรณี false alarm มากเกินไปและมันจะทำให้เราไม่เชื่อในระบบหรือการเตือนเหล่านั้น) นอกจากนี้ การที่มันเป็นเพียง PIR motion sensor มันไม่ได้มีภาพอะไรไปเก็บไว้ใน cloud internet ก็แปลว่า เราอยากจะติดที่ห้องนอนหรือห้องน้ำก็ยังได้หากต้องการ แต่สำหรับการติดตั้งที่ดีแล้ว ให้ติดตั้งทืี่มุมห้องหันเข้าหากลางห้องเอาไว้เป็นดีที่สุด เพราะ มันจะครอบคลุมพื้นที่ได้ดี โอกาสที่คนเดินเข้ามาให้ห้องนั้นแล้ว PIR motion ไม่สามารถตรวจเจอนั้นน้อยเอามากๆ 

Windows and Door Open/Close sensor  เซนเซอร์ดูสถานเปิดปิดประตูหน้าต่าง

windows and door sensor

อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจการเปิดปิดของหน้าต่างหรือประตูนี้ก็แนะนำเอาไว้ติดเพื่อเอาไว้กันขโมยได้เช่นเดียวกัน แต่เอาไว้เพื่อให้เรารู้ว่า เมื่อถึงยามวิกาลแล้ว ประตูหน้าบ้านและหลังบ้านได้เราได้ถูกปิดอยู่หรือไม่ หากไม่ได้ปิดให้แจ้งเตือนมาหาเรา เพื่อเราจะได้หาคนไปปิดมันเสียเท่านั้นเอง เพราะ แม้นว่า เราจะติดตั้ง PIR motion sensor แล้วก็ตาม แต่เราก็ไม่อยากจะให้ประตูหน้าบ้านของเราลืมปิดเอาไว้ซึ่งมันจะเป็นการเพิ่มโอกาสล่อโจรเข้ามาได้หากคนเดินผ่านไปผ่านมาเห็นว่าประตูนั้นไม่ได้ปิดอยู่นั่นเอง 

อุปกรณ์นี้จะมีข้อเสียที่ว่า มันจะกินไฟฟ้ามากกว่า PIR motion sensor ประมาณหนึ่ง ทำให้มีความถี่ในการที่เราต้องไปเปลี่ยนถ่านมันก็เรียกได้ว่ทุก 6-8 เดือนก็ว่าได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับ PIR motion sensor เพราะ เราสามารถมันได้ยาวๆเป็นปีๆก็ไม่ได้ต้องมีการเข้าไปเปลี่ยนถ่านอะไร ทำให้เราสามารถติดตั้งได้ในที่ที่เราเข้าถึงได้ยากก็ได้ 

ON/OFF Switch ตัวส่งคำสั่งเปิดปิดสวิตช์สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า

แน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มี motion sensor ตรวจจับได้ว่าเกิดการเคลื่อนไหวที่ไม่ควรจะมีในตอนกลางคืน เราจะได้ทำการสั่งงาน AUTO ไปเรื่องปลั้กไฟฟได้ทันทีว่า เมื่อมีการเคลื่อนไหวให้โคมไฟเปิดอัตโนมัติเสีย เพื่อเป็นการลดโอกาสความเสี่ยงของโจรจะเข้ามาทำร้ายหรือมาเจอกับเจ้าบ้าน การที่มีไฟเปิดจะทำให้เหมือนกับที่บ้านมีีคนอยู่ เพื่อลดโอกาสการปะทะระหว่างกันได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ เราแนะนำให้ ถ้าหากว่าเกิดเหตุแล้วให้เปิดกล้องวงจรปิดแบบ WIFI เข้าไปดูที่บ้านก่อนจะดีกว่า หรือ แม้เราจะอยู่บ้านก็ตามก็แนะนำให้เปิดผ่านกล้องก่อนก็จะดี เพราะ การปะทะเจอกันแบบคนเจอคนนั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องดีได้ มันอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงกว่าเดิมได้มาก และ มีผลต่อร่างกายทั้งเราและตัวผู้บุกรุกเอง 

สำหรับตัวเปิดปิดสวิตช์ไฟฟ้าสามารถใช้กับอุปกรณ์ได้มากเท่าที่มากได้ เช่น Printer เราอยากจะให้มัน reset printer ใหม่ทุกเที่ยงคืนก็ได้ หรือ เราตั้งเอาไว้กับอุปกรณ์พวกเครื่องไล่ยุงหรือเครื่องดักยุงก็ได้เช่นเดียวกัน ทำให้ชีวิตแบบ smart home มันมีีประโยชน์กับเราและเป็นการประหยัด mental และ แรงงานเพื่อจัดการบ้านของเราได้ดีขึ้นได้ 

เทคนิคการทำให้ Smart Hub ไม่ดับเพื่อทำให้ระบบกันขโมยเสถียรเวอร์

มีความเป็นไปได้อีกสองประการที่คนที่เป็นโจรที่เข้าใจระบบกันขโมยสมัยใหม่มักจะคิดออกนั่นก็คือ ระบบกันขโมยจะต้องใช้ไฟฟ้าและจะต้องใช้ internet เพื่อส่งผ่านข้อมูลไปยังเจ้าของบ้านถ้าหากว่า เจ้าของบ้านไม่ได้อยู่บ้าน ดังนั้นแล้ว เราจะทำอย่างไร เพื่อให้ระบบกันขโมยของเราที่ใช้ Smart Home ทำเอานั้น มันยังคงความสามารถไล่ขโมยอยู่กันล่ะ ? 

โจรตรวจบ้านก่อนเข้าทำการโจรกรรม โดยดูจากสามประเด็นต่อไปนี้

หากวิเคราะห์ดีๆเราจะพบได้ว่า เราต้องป้องกันสามเรื่องดังต่อไปนี้ 

  1. ไม่ให้โจรรู้ไดง่ายๆว่า Smart Hub ของเราอยู่ที่ไหนกันแน่ 
  2. ถ้าหากว่าโจรตัดไฟฟ้าหลักหรือไฟดับ เครื่อง Smart Hub จะต้องไม่ดับไปด้วย
  3. Internet ที่ใช้กับ Smart Hub หลักนั้นจะต้องไม่ดับไปด้วยแม้ว่าจะมีไม่มีไฟฟ้าหรือโดนตัดไฟและไม่มีอินเตอร์เน็ตบ้านเข้าถึง ณ เวลานั้นๆ 

ปัญหาเรื่องที่จะไม่ให้โจรรู้ได้ว่าหัวสมองที่เราเรียกกันว่า Smart Hub นั้นอยู่ไหน ทำได้ไม่ยากก็คือ การรเอา Smart Hub ไปซ่อนนั่นเอง แนะนำเป็นห้องเก็บของหรือห้องอะไรสักอย่างที่ปกติไม่ได้อยู่ในพื้นที่หลักที่เดียวกับทรัพย์สินมีค่า และ สามารถเข้าถึงได้ยาก อันนี้แต่ละบ้านต้องลองนึกกันเองว่า มันน่าจะต้องอยู่ที่ไหนถึงจะเหมาะสม  ไม่ใช่ให้คุณโจรที่ประสงค์ทรัพย์เข้าถึงแล้วก็เห็น  Smart Hub อยู่ตรงหน้าซะอย่างงั้น เรียกได้ว่าไม่ฉลาด และ ทำให้คุณพลาดโอกาสไล่โจรออกจากบ้านได้ 

กรณีที่มีการตัดไฟฟ้าหลักของบ้าน

เราต้องให้ระบบ Smart Hub นั้นยังคงทำงานอยู่โดยเลือกซื้อระบบไฟฟ้าสำรอง (UPS) ที่ปกติแล้วจะใช้กับ computer หรือ เครื่อง server เป็นแหล่งจ่ายไฟฟ้าสำรองทำด้วยราคาไม่แพงมากนัก มันเหมือนกับทำหน้าที่เป็นแบทสำรองที่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ไปอีกอย่างน้อยก็อีกประมาณชั่วโมงกว่า เพื่อรองรับไฟดับหรือการตัดไฟในระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ แนะนำให้ใช้สำหรับการสำรองไฟฟ้าเพื่อ Smart Hub เพัยงอย่างเดียวเพื่อที่จะทำให้มันได้ใช้ไฟฟ้าส่วนตัวได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพราะ การคิดของโจรนั้นก็ค้ือ อาจจะทำการตัดไฟฟ้าก่อนระยะเวลาหนึ่งเพื่อดูพฤติกรรมของเจ้าบ้านและ/หรือเพื่อให้ระบบการสื่อสารของบ้านทั้งหมดถูกตัดขาด และ หากคุณใช้ UPS สำรองไฟฟ้าที่ดันไปจ่ายไฟอย่างอื่นด้วยแล้ว มันก็จะทำให้ระยะเวลาสำรองไฟฟ้าเพื่อ Smart Home Hub นั้นน้อยลงไปโดยไม่จำเป็น 

กรณีที่มีการตัด internet (เนื่องด้วยไฟฟ้าดับหรือ internet มันไม่มีด้วยเหตุฉุกเฉิน)

อย่างที่เรารู้กันดีว่า สำหรับ internet WIFI ที่บ้านไม่ว่าจะใช้ผู้ให้บริการรายใดก็จะมีอาการ internet ดับแล้วกว่าช่างจะเข้ามาเปลี่ยนซ่อมกันได้นั้นอาจจะกินเวลาหนึ่งถึงสามวันเห็นจะได้แล้วแต่ความเร่งด่วนและความถี่ในการที่เราติดต่อเพื่อเร่งงานเพื่อให้ช่างเข้ามาซ่อม internet ของแต่ละบ้าน ดังนั้นแล้ว เราจะไม่สามารถ “พุึ่งพา” ระบบอินเตอร์เน็ตบ้านได้สักเท่าไหร่สำหรับระบบป้องกันขโมยที่ต้องเปิดได้อย่างแน่นอนทุกวัน ดังนั้นแล้ว จะแนะนำให้เลือกใช้ Router internet แบบที่มีใส่ internet sim card ได้ด้วยแล้วเลือก internet sim card ใส่เข้าไปที่เครื่อง Router นี้ด้วยเพื่อเป็นแหล่ง internet source สำรอง นอกจากนี้เพื่อการใช้งานกับ smart home hub แล้วยังทำให้บ้านคุณจะมี internet ใช้งานตลอดเวลาแม้ว่า internet บ้านของคุณจะโดนตัดสายหรือชุมสายมีปัญหา เราก็มี internet สำรองผ่าน อากาศผ่าน sim card เพื่อใช้งานอยู่ได้นั่นเอง 

Router ที่แนะนำจะต้องเป็น 4G LTE Router ถึงจะเหมาะสมกับการใช้ระบบ Smart Home เพื่อทำระบบกันขโมบ

ด้วยเหตุผลเรื่องความจำเป็นว่าระบบของเราจะต้องไม่โดนตัดทั้งไฟฟ้าและอินเตอร์เน็ต แนะนำให้ใช้ Router ประเภทที่มีระบบอินเตอร์เน็ตสำรองจะเหมาะสมเอามากๆ โดยบทความนี้ของแนะนำ Router ของ TOTOLINK รุ่น LR1200 เนื่องด้วย

เทคนิคที่โจรที่จะเลือกบ้านเพื่อบุกเข้าบ้านไปกระทำการโจรกรรมขโมยทรัพย์สิน

หากคุณได้เคยอ่านข่าวมาบ้างเราจะสังเกตได้ว่า บ้านเรือนประเภทที่เป็นทาวน์โฮม มีโอกาสสูงมากกว่าบ้านเดี่ยวมากๆ เพราะเนื่องด้วย การที่โจรเข้าสำรวจพื้นที่ทาวน์โฮมหรือทาวน์เฮ้าส์ห้องแถว จะมีตัวเลือกให้เลือกเข้าได้อย่างมากมาย เป็นกลุ่มก้อน คุ้มกับการเดินทางเข้ามาดูเพียงครั้งเดียว จุดสังเกตหลักของโจรพวกนี้ คือ จะเลือกจากบ้านหลังที่ไม่มีคนอยู่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเสียก่อน เพราะ เป็นการป้องกันอันตรายของตนเองและความเสี่ยงที่จะโดนจับได้ลงไปมาก โดยข้อสังเกตที่โจรมักจะใช้กันดูว่า มีคนอยู่บ้านหรือไม่มักจะมองที่ประเด็นต่อไปนี้ รถจอดอยู่หรือไม่ / คอยร้อนของระบบปรับอากาศทำงานหรือไม่ / ไฟแสงสว่างมีเปิดหรือปิดตามเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ / มีรองเท้าหันเข้าบ้านหรือไม่ 

ทั้งนี้ท่านอาจจะสังเกตได้ว่า เป็นปัจจัยที่สามารถสังเกตได้จากนอกบ้านทั้งนั้น ไม่ต้องออกแรงปีนเข้าไปในบ้านเพื่อประเมินสถานการณ์ว่ามีคนอยู่หรือไม่อย่างไรเลย เรียกได้ว่า ไร้ความเสี่ยงเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ ถ้าหากว่า คุณเลือกใช้ Smart Home Hub สิ่งที่คุณพอจะทำได้ก็คือ การทำให้หลอดไฟหรือโคมไฟที่ห้องนอนนั้นเปิดปิดได้อย่างไม่เป็นเวลา โดยให้ทำการตั้งค่าเหมือนกับเราอยู่บ้านทุกประการเพื่อ ทำให้ความเข้าใจผิดของโจรนั้นเข้าใจได้ว่าเราก็เหมือนว่าจะอยู่บ้านนี่หน่า โดยเน้นการเปิดปิดไฟที่ห้องนอนเป็นหลัก เพราะยังไงเสีย โจรเพื่อการโจรกรรมทรัพย์สินนั้นตั้งเป้าเอาไว้แล้วว่าจะเข้าไปที่ห้อง master bedroom หรือห้องนอนหลักของเจ้าบ้านเป็นหลัก เพราะมันเป็นแหล่งที่อยู่ของเพชร เครื่องตกแต่งอัญมณีราคาแพงที่สุด ที่วางเอาไว้ที่บ้าน หรือ ก็จะเก็บเอาไว้ที่เซฟในบ้าน ที่ห้องนี้ ให้เราติดตั้งระบบเปิดปิดไฟฟ้าด้วย Smart Home เอาไว้แล้วตั้งเป็น Scene หรือสถานการณ์แบบที่เราไม่อยู่ โดยจำลองเหมือนกับเราอยู่ได้ไม่ยาก เช่น ปกติเราจะเข้านอนเวลา 22:00 น. ก็ให้เราเปิดไฟตั้งแต่หกโมงเย็นแล้วไปปิดอีกทีก็สี่ทุ่มเหมือนกับที่เราอยู่ได้เลย ! แบบนี้ก็จะเหมือนกับที่เราอยู่บ้านทั้งๆที่เราไม่อยู่บ้าน ซึ่งเป็นการป้องปรามไม่ให้โจรเลือกบ้านของเรามาเป็นบ้านเป้าหมายเพื่อการโจรกรรมในครั้งนั้นๆ 

ใช้ระบบบ้านอัจฉริยะให้มันล้ำไปอีกขั้นด้วย IFTTT และ Integromat

ก่อนอื่นก็ต้องบอกเล่าก่อนว่า IFTTT คืออะไรเพื่อให้เห็นภาพก่อนว่า แล้วมันจะเอามาใช้กับ Smart Home อะไรได้อย่างไรกัน IFTTT มันคือ บริการฟรีที่ได้เงินจากผู้ให้บริการหรือแบรนด์สินค้าบริการผ่านอินเตอร์เน็ตทั้งหมดที่คิดว่า การเข้าร่วมกับ IFTTT แล้วจะทำให้โอกาสการขายสินค้าหรือบริการมากขึ้น เพราะยังประโยชน์ให้กับผู้ใช้งาน ทั้งนี้ IFTTT มันจะทำการเชื่อมโยงบริการที่เข้าร่วมเป็น partner เพื่อส่งผ่านข้อมูลระหว่างกันด้วยเงื่อนไขง่ายๆ แบบ “ถ้า สิ่งนี้เกิด แล้ว สิ่งนี้จะกระทำ” มันเหมือนกับเป็นการเขียนคำสั่งและเงื่อนไขบอกข้ามระหว่างบริการได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่า คุณต้องการเมื่อมีคนเปิดประตูบ้านเข้ามาแล้ว ให้แจ้งเตือนโดยการยิง PUSH NOTIFICATION ผ่าน PUSHOVER APP เพื่อให้เรารู้ได้ว่ามีการเปิดประตูเกิดขึ้น หรือ อยากจะทำ Time Log การเปิดปิดประตูก็ทำได้เช่นเดียวกัน โดยการกำหนดว่า ถ้าหากว่าประตูมีสถานะเปิดหร่ือปิดก็ให้ส่งเวลาและชื่อประตูไปเก็บข้อมูลเอาไว้ที่ Google Sheet เป็นต้น ทั้งนี้การกำหนดคำสั่งแบบนี้ยังเชื่อมผ่าน Integromat อีกต่อหนึ่งอีกต่าหาก เรียกได้ว่าไม่ง่ายเท่าไหร่สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ การที่คุณสนใจและมีแนวคิดว่า จะตั้งกฏอะไรเพื่ออะไรนั้น จะทำให้คุณเข้าไปศึกษาการใช้งานทั้ง IFTTT และ Integromat ต่อไปได้นั่นเอง 

ทั้งนี้จะไม่สามารถบอกกรณีได้ทั้งหมดหรอกว่า เราจะใช้ IFTTT ได้อย่างไรบ้างเพราะต้องแล้วแต่กรณีหรืออุปกรณ์ที่เราเอาไปติดว่าใช้เงื่อนไขอะไรอย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าผมมีตู้รับจดหมายหรือตู้พัสดุ ผมก็เอา Smart device คือเซนเซอร์ประตูเปิดปิดเพื่อรับรู้ว่าเมื่อมีคนเอาพัสดุมาหย่อนใส่ เราก็จะให้กล้องวงจรปิดส่งผ่านถ่ายมาให้ด้วยเข้าทีี่ Google Photo เป็นต้นซึ่งการทำแบบนี้นั้นจะไม่สามารถพิมพ์สอนได้เป็นเนื้อความในบทความนี้ เพราะเป้าหมายของบทความนี้เพื่อให้รู้ว่า หากคุณมีอุปกรณ์ smart home แล้ว การเชื่อมต่อเข้ากับบริการอื่นๆ นั้นจะทำให้คุณสามารถทำอะไรได้มากขึ้นไปอีกมาก ! แต่สำหรับ advanced user เท่านั้น! 

Google Assistant สามารถควบคุมบ้านของคุณได้ด้วย ! 

คุณสามารถเพิ่มระบบของ Smart Home ไม่ว่าจะเป็นของ Tuya , SmartLife หรือ Sumsung SmartThings เข้าไปยังระบบของ Google Home ได้และการที่เพิ่มระบบ้านเข้าไปอยู่ใน Google Home จะทำให้ Google Assistant รับคำสั่งเพื่อไปควบคุมมันได้อีกต่อหนึ่ง ! ฟังดูแล้วอาจจะงงๆว่าอะไรมันคืออะไรเหรอแล้วมันให้ผลยังไงกัน ลองอ่านตัวอย่างต่อไปนี้ เช่น เมื่อคุณอยู่หน้าบ้านและถือของอยู่มือ คุณสามารถพูดว่า “OK Google เปิดล็อคประตูบ้านและเปิดไฟให้หน่อย” ที่มือถือแอนดอยด์ของคุณ มันก็จะปลดล็อคกลอนประตู(ประเภทที่รับคำสั่งผ่าน Smart Home Hub ได้นะ) และไปเปิดไฟที่คุณตั้งค่าเอาไว้ได้นั่นเอง เรียกได้ว่า มันจะเป็นการเพิ่มความสามารถให้กับ Google Assistant เพื่อให้ทำการควบคุมบ้านได้

แต่สำหรับผมแล้วนั่นส่วนตัวใช้เป็น iPhone ทำให้ต้องสั่งการผ่าน SIRI อีกรอบ โดยเราสามารถกำหนด shortcuts ของเครื่อง iPhone และสอนประโยคให้กับ SIRI ได้ว่าถ้าหากว่าเราพูดแบบนี้ๆคือเสมือนการกดคำสั่งลัดใด ถ้าหากว่าอยากจะให้ SIRI ทำหน้าที่เรียก Google Assistant นั้นก็ทำได้ เช่น เครื่องไอโฟนของผมเองนั้นจะรับคำสั่งได้ว่า เปิดไฟที่บ้าน SIRI ก็รับประเมินว่าเป็นคำสั่งลัด เพื่อเรียกคำว่า “OK Google เปิดไฟที่บ้าน” แล้วมันก็จะทำให้ไฟที่บ้านผ่าน SmartThings นั้นเปิดไฟขึ้นมา 

ทั้งนี้หากคุณไม่สามารถตามที่เล่านี้ได้ไม่แปลกอะไรเพราะประเด็นนี้ไม่ได้สอนเพื่อให้ทำตามได้ แต่เพื่อที่จะแนะนำเปิดโลกเสียมากกว่า ถ้าหากว่าคุณเลือกที่จะต่อ Smart Home Hub กับบ้านของคุณแล้ว คุณจะเริ่มศึกษาและทำอะไรได้มากกว่าระบบป้องกันขโมยได้จริงๆ 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *