เพิ่งไปตรวจสุขภาพประจำปีมาครับ ผลอย่างอื่นก็โอเค แต่พอถึงคิวตรวจตับด้วยเครื่อง FibroScan เท่านั้นแหละ… ช็อกไปเลย! คุณหมอบอกว่าผมมีภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver) ในระดับปานกลาง ค่า CAP Score ของผมอยู่ที่ 287 dB/m
วินาทีนั้นคืออึ้งไปเลยครับ ผมไม่ใช่คนอ้วน ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์หนัก แต่ทำไมค่าตับถึงพุ่งขนาดนี้? พอมานั่งไล่พฤติกรรมตัวเองก็ถึงบางอ้อ… ของหวาน น้ำอัดลม ชานมไข่มุกนี่เองตัวดี!
แต่ผมไม่ยอมแพ้ครับ! ตั้งเป้ากับตัวเองเลยว่า ภายใน 3 เดือนนี้ ค่า CAP ของผมต้องกลับมาสู่เกณฑ์ปกติให้ได้! แผนของผมมี 3 เสาหลัก คือ ออกกำลังกาย, ตัดขาดจากน้ำตาล (โดยเฉพาะฟรุกโตส), และใช้ตัวช่วยเด็ดอย่าง “น้ำมันปลา” ที่มี EPA สูงๆ วันนี้เลยจะมาแชร์แผนทั้งหมดแบบละเอียด เผื่อใครกำลังเจอปัญหาเดียวกันอยู่ครับ
ก่อนอื่น… มาเข้าใจผลตรวจ FibroScan กันก่อน
หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นกับเครื่องนี้ มันคือเครื่องมือที่เหมือนอัลตราซาวด์แต่ล้ำกว่า ใช้ตรวจตับโดยที่เราไม่เจ็บตัวเลยครับ จะให้ค่าหลักๆ มา 2 ตัวคือ:
-
CAP Score (Controlled Attenuation Parameter): ตัวนี้แหละครับที่ใช้วัด “ปริมาณไขมันที่สะสมในตับ” ยิ่งค่าสูงแปลว่าไขมันยิ่งเยอะ
-
< 238 dB/m: ปกติ (S0)
-
238 – 259 dB/m: ไขมันพอกตับระดับน้อย (S1)
-
260 – 290 dB/m: ไขมันพอกตับระดับปานกลาง (S2) ← ผมอยู่ตรงนี้เลย (287)!ริมขอบบนเกือบจะไปขั้นรุนแรงแล้ว !
-
> 290 dB/m: ไขมันพอกตับระดับรุนแรง (S3)
-
-
Liver Stiffness (ค่าความแข็งของตับ): ตัวนี้ใช้วัด “พังผืดในตับ” ซึ่งเป็นผลจากการอักเสบเรื้อรัง ถ้าปล่อยให้ไขมันพอกตับนานๆ ตับจะอักเสบและกลายเป็นพังผืดได้ (Fibrosis)
-
F0 – F1: ปกติ หรือมีพังผืดเล็กน้อย (โชคดีที่ของผมยังอยู่ตรงนี้!)
-
F2 – F4: มีพังผืดระดับปานกลางไปจนถึงตับแข็ง (Cirrhosis)
-
การที่ค่า CAP ผมสูงแต่ค่าความแข็งยังดีอยู่ แปลว่า “ยังไม่สายเกินไป” ที่จะฟื้นฟูตับครับ!
“น้ำมันปลา” ตัวช่วยหลักในภารกิจนี้… แต่ต้องเลือกให้เป็น!
ผมทำการบ้านมาหนักมาก พบว่ากุญแจสำคัญคือกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ชื่อว่า EPA และ DHA
-
EPA (Eicosapentaenoic Acid): นี่คือ พระเอกตัวจริง สำหรับคนมีปัญหาไขมันพอกตับ งานวิจัยชี้ชัดว่ามันช่วยลดการอักเสบในตับ, ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ และที่สำคัญคือลดไขมันที่เกาะในตับได้โดยตรง
-
DHA (Docosahexaenoic Acid): ตัวนี้จะเด่นเรื่องบำรุงสมอง, สายตา และระบบประสาท
เป้าหมายของผม: ต้องได้รับ EPA ไม่ต่ำกว่า 1,000 mg ต่อวัน จากงานวิจัยบอกว่าปริมาณนี้แหละที่สามารถลดค่า CAP Score ได้อย่างมีนัยสำคัญในเวลาแค่ 8–12 สัปดาห์
แล้วจะเลือกน้ำมันปลาแบบไหน? นี่คือ Checklist ของผม
ไม่ใช่หยิบขวดไหนก็ได้นะครับ ผมมีเช็กลิสต์ส่วนตัวเวลาเลือกซื้อเลย:
-
EPA ต้องสูง: ดูที่ฉลากเลยว่า “ต่อ 1 แคปซูล” มี EPA เท่าไหร่ ผมจะเลือกตัวที่มี EPA ≥ 500 mg/แคปซูล ขึ้นไป เพื่อให้กินแค่วันละ 2 เม็ดก็ถึงเป้าหมาย 1,000 mg
-
รูปแบบ Triglyceride (TG): ต้องเป็นฟอร์มนี้เท่านั้น เพราะร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าแบบ Ethyl Ester (EE) เยอะเลย บนฉลากส่วนใหญ่จะระบุไว้ชัดเจนครับ
-
กลั่นบริสุทธิ์ (Molecularly Distilled): เพื่อให้มั่นใจว่าสะอาด ปลอดภัยจากสารโลหะหนักที่อาจปนเปื้อนมากับปลาทะเล
-
ตัวอย่างที่ผมเล็งไว้: ยี่ห้อ Microgenics Omega-3 Triple Strength ตอบโจทย์มาก
-
ต่อ 1 แคปซูลมี EPA 558 mg และ DHA 372 mg
-
เป็นรูปแบบ Triglyceride (TG) ✅
-
กินวันละ 2 เม็ด ได้ EPA ไปเลย 1,116 mg → ผ่านเกณฑ์สบายๆ!
-
กินตอนไหนดีที่สุด? ผมวางแผนแบบนี้
เพื่อให้ร่างกายดูดซึมโอเมก้า-3 ได้เต็มที่ ผมจะ กินพร้อมหรือหลังมื้ออาหารทันที โดยเฉพาะมื้อที่มี “ไขมันดี” อยู่ด้วย เพราะไขมันจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดี ทำให้การดูดซึม EPA/DHA ดีขึ้นมาก
-
ถ้ามื้อนั้นเป็นสลัดคลีนๆ? ผมจะเติมไขมันดีเข้าไป เช่น อะโวคาโดครึ่งลูก, ไข่ต้ม, หรือราดน้ำมันมะกอก
-
ถ้ามื้อนั้นดันมีคอหมูย่าง? ก็กินน้ำมันปลาตามไปได้เลยครับ! ไขมันจากเนื้อสัตว์ก็ช่วยในการดูดซึมได้เหมือนกัน แต่แน่นอนว่าในภาพรวมผมจะเน้นไขมันดีจากพืชและปลาเป็นหลัก
ข้อห้ามเด็ดขาด: ไม่กินตอนท้องว่าง โดยเฉพาะช่วงที่ทำ IF
คาดการณ์ผลลัพธ์: จาก CAP 287 จะเหลือเท่าไหร่ใน 3 เดือน?
ถ้าผมทำทุกอย่างตามแผนเป๊ะๆ:
-
กิน EPA ≥ 1100 mg/วัน
-
ออกกำลังกาย Zone 2 + เวทเทรนนิ่ง
-
ตัดขาดน้ำตาลและแปรรูป (No Fructose)
-
ลดไขมันในร่างกายโดยรวม
ผมคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของค่า CAP Score ตามงานวิจัยได้แบบนี้:
ระยะเวลา | ค่า CAP ที่คาดว่าจะลดลง | จาก 287 จะเหลือประมาณ… |
1 เดือน | 10–20 dB/m | ~267–277 (ลงมาที่ระดับน้อย) |
2 เดือน | 30–45 dB/m | ~242–257 (เกือบปกติแล้ว!) |
3 เดือน | 45–60 dB/m | ~227–242 (เข้าสู่เกณฑ์ปกติ ✅) |
แล้วถ้ากินน้ำมันปลาถูกๆ ที่มี EPA แค่ 180 mg/เม็ดล่ะ? บอกเลยว่า “ไม่พอครับ” ปริมาณแค่นั้นได้แค่ผลระดับ “บำรุงสมอง บำรุงผิว” แต่ไม่สามารถ “รักษา” หรือลดไขมันในตับได้อย่างจริงจังแน่นอน
บทสรุปและคำท้าทาย
นี่คือแผนการทั้งหมดของผมครับ น้ำมันปลาไม่ใช่ยาวิเศษ แต่มันคือเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทรงพลังมากเมื่อเราใช้ให้ “ถูกชนิด ถูกขนาด และถูกเวลา” ร่วมกับการปรับพฤติกรรมอย่างจริงจัง
ถ้าคุณกำลังเผชิญหน้ากับค่าตับที่น่ากังวลเหมือนผม ลองเอาแผนนี้ไปปรับใช้ดูนะครับ การลงทุนกับน้ำมันปลาดีๆ ที่มี EPA > 1000 mg/วัน คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสุขภาพตับที่คุ้มค่าที่สุด
อีก 3 เดือนข้างหน้า ผมจะกลับมารายงานผล FibroScan อีกครั้ง… เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ