อุปกรณ์สำหรับวัดชีวิตและสุขภาพเบื้องต้นเพื่อลดโอกาสการตายด้วยโรคยอดฮิตที่คร่าชีวิต 90% ของคนไทย

ถ้าหากว่าคุณติดตาม Social Media หรือ Youtube เป็นประจำ คุณอาจจะพบได้ว่า คนระดับผู้นำทางความคิดคนรุ่นใหม่ และ คนที่เน้นการพัฒนาประสิทธิภาพของการทำงานกลับมา สนใจเรื่อง การพัฒนาร่างกายและสุขภาพเพื่อทำให้คุณภาพชีวิตขณะที่มีชีวิตอยู่นั้นดี และ ดีได้ยาวนาน โดยเน้นไปที่พฤติกรรมใดๆที่เพิ่มโอกาส Longivity และ เพิ่ม Health Span หรือ ระยะเวลาการมีสุขภาพที่ดีให้ยาวนาน ราวกับว่าเป็น Trend สำหรับคนทำงานยุคใหม่เลยก็ว่าได้ ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ความพยายามในการพัฒนาสุขภาพตัวเองนั้นเกิดขึ้นมานานมากแล้วมากเสียจนลืมไปแล้ว แล้วโผล่กลับมารอบใหม่นี้อีกครั้งก็ว่าได้  วิธีการคิดของการรักษาสุขภาพรอบใหม่นี้ จะพบได้ว่า เรารู้ว่าคนตายด้วยโรคหลอดเลือดและสมองกันมาก ดังนั้นแล้ว การลดปริมาณไขมันในร่างกาย (Fat Percentage) ก็จะเริ่มเข้ามาเป็นตัวกำหนดเป็นเป้าหมายสำหรับการบริโภคและการออกกำลังกาย การมีสุขภาพที่ดีจะมองไปที่ระดับที่ซับซ้อนกว่าเดิม ไม่ได้มองไปแค่น้ำหนักแต่เพียงอย่างด้วย เนื่องด้วย ตอนนี้การเข้าถึงข้อมูลและการวัดผลนั้นทำได้ง่ายกว่าเดิมเอามาก…

ควบคุมความดันโลหิตและสุขภาพหัวใจ: มองร่างกายเหมือนระบบปั๊มน้ำในบ้าน

สวัสดีครับ วันนี้อยากจะมาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับสุขภาพตัวเอง โดยเฉพาะเรื่อง ความดันโลหิต (Blood Pressure) ที่ผมพบว่ามีปัญหาเล็กน้อย ค่าของผมสูงกว่ามาตรฐานเล็กน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลย !  ค่าความดันโลหิตที่เหมาะสมคือเท่าไรกันแน่ ?  สำหรับคนทั่วไปไม่ว่าอายุเท่าใดก็ตาม (ย้ำอีกครั้งว่า สำหรับทุกอายุ ! ไม่ได้คิดแบบคนสมัยก่อนแล้วว่า ถ้าหากว่าอายุเยอะแล้วต้องยอมรับสภาพเป็นพร้อมจะมีความดันเลือดที่สูงขึ้น มันไม่ได้จริงอีกต่อไป) ที่ไม่มีความเสี่ยงด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด ค่าเป้าหมายคือ ไม่เกิน 120/80 มิลลิเมตรปรอท โดย ค่าซิสโตลิก (SYS) ควรต่ำกว่า 120 (สำหรับคนทุกวัยไม่ว่าเยอะหรือน้อย) ค่าดิแอสโตลิก (DIA) ควรต่ำกว่า 80 (สำหรับคนทุกวัยไม่ว่าเยอะหรือน้อย)   เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการวัดคือ ตอนเช้า หลังตื่นนอน เพราะสะท้อนค่าที่แท้จริง…

10 เคล็ดลับง่ายๆ ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดตลอดชีวิต

ระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูงขึ้นเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย ตั้งแต่ความเหนื่อยล้าเรื้อรังไปจนถึงโรคเบาหวานประเภท 2 การเรียนรู้วิธีควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี บทความนี้จะนำเสนอ 10 เคล็ดลับง่ายๆ ที่ได้จากการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากมาย เพื่อช่วยให้คุณเริ่มต้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ตั้งแต่วันนี้ 1. กินอาหารในลำดับที่ถูกต้อง การกินอาหารในลำดับที่เหมาะสมสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูงขึ้นหลังมื้ออาหารได้ถึง 75% ลำดับที่แนะนำคือ: ผักมาก่อน: ผักมีไฟเบอร์สูง ช่วยสร้างเกราะป้องกันในลำไส้ ทำให้การดูดซึมน้ำตาลจากคาร์โบไฮเดรตช้าลง โปรตีนและไขมันตามมา: โปรตีนและไขมันย่อยช้ากว่าคาร์โบไฮเดรต ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูงขึ้น คาร์โบไฮเดรตเป็นลำดับสุดท้าย: ทิ้งข้าว, พาสต้า, มันฝรั่ง, ขนมปัง, และของหวานไว้เป็นลำดับสุดท้าย 2. เริ่มต้นมื้ออาหารด้วยผัก เคล็ดลับนี้คล้ายกับข้อแรก แต่เน้นที่การเริ่มต้นมื้ออาหารด้วยจานผัก ซึ่งอาจเป็นผักสด, ผักสุก, ผักราดน้ำสลัด, หรือผักที่มีส่วนผสมของชีสเล็กน้อย ก็ได้ 3. หยุดนับแคลอรี่ แคลอรี่ไม่ได้บอกว่าอาหารนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง อาหารที่มีแคลอรี่เท่ากัน อาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น แทนที่จะนับแคลอรี่…

เคล็ดลับลดระดับน้ำตาลในเลือด: กินอาหารในลำดับที่ถูกต้อง

ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย และอาจนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ในระยะยาว หลายคนมองหาวิธีลดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างได้ผล และหนึ่งใน วิธีที่ง่ายที่สุด คือ การกินอาหารในลำดับที่ถูกต้อง กินอย่างไรให้ถูกต้อง? ผัก: เริ่มต้นมื้ออาหารด้วย ผัก เช่น สลัดผัก บรอกโคลี หรือผักชนิดอื่นๆ โปรตีนและไขมัน: หลังจากผัก ให้กิน โปรตีน เช่น เนื้อไก่ ปลา ไข่ และ ไขมัน เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก คาร์โบไฮเดรต: กิน คาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ขนมปัง เป็นลำดับสุดท้าย ทำไมการกินอาหารในลำดับนี้ถึงได้ผล? ใยอาหารในผักจะสร้างชั้นป้องกันในกระเพาะอาหาร ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลจากคาร์โบไฮเดรตเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลการศึกษา ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่าการกินอาหารในลำดับที่ถูกต้องช่วย ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้มากถึง 73% นอกจากนี้ ยังช่วย ลดความอยากอาหาร ลดการอักเสบ ปรับปรุงการนอนหลับ สุขภาพผิว และ ฮอร์โมน เริ่มต้นง่ายๆ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอาหารที่คุณกิน เพียงแค่ปรับลำดับการกิน เริ่มต้นด้วยการกินผักเป็น “จานเรียกน้ำย่อย” (veggie starter) ก่อนมื้ออาหารหลัก เช่น สลัดผัก…

ไขมันอุดตันในหลอดเลือด ปัญหาสุขภาพที่ป้องกันได้

ในปัจจุบัน ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นจำนวนมาก ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักเกิดจาก “หลอดเลือดอุดตัน” อันเป็นผลมาจากการสะสมของไขมันภายในหลอดเลือด ภาวะดังกล่าวส่งผลให้หลอดเลือดตีบแคบลง ทำให้เลือดไหลเวียนได้ยาก ไขมันอุดตัน เกิดจากอะไร ? สาเหตุหลักของไขมันอุดตันในหลอดเลือด คือการรับประทานเนื้อแดง ซึ่งมีสารโคลีน และคาร์นิทีน เมื่อเรากินเนื้อแดงเข้าไป แบคทีเรียที่ไม่ดีในลำไส้ใหญ่จะเปลี่ยนสารเหล่านี้ให้เป็นสารพิษชื่อ TMA ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็น TMAO ที่ตับ สารพิษ TMAO นี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือด และนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแข็ง การอักเสบของหลอดเลือด ปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่หลอดเลือดแข็ง เมื่อหลอดเลือดเกิดการอักเสบ เม็ดเลือดขาวชนิด โมโนไซต์ จะเข้าไปแทรกตัวอยู่ใต้ผนังหลอดเลือด และจับตัวรวมกับไขมันชนิด LDL ก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ กระบวนการนี้เปรียบเสมือนการฉาบปูนที่ผนังหลอดเลือดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผนังหลอดเลือดหนาขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็ตีบแคบลง เราสามารถล้างหลอดเลือดให้เหมือนใหม่ได้หรือไม่? น่าเสียดายที่เราไม่สามารถล้างหลอดเลือดให้สะอาดเหมือนใหม่ได้…

สาร TMAO: ภัยเงียบจากอาหาร ไลฟ์สไตล์ และแบคทีเรียในลำไส้

TMAO – ภัยเงียบจากอาหาร ไลฟ์สไตล์ และแบคทีเรียในลำไส้ ในยุคที่ใส่ใจสุขภาพ การเลือกรับประทานอาหารที่ดี และการมีไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ แต่ทราบหรือไม่ว่า แม้จะดูแลตัวเองดีแค่ไหน ก็ยังมีภัยเงียบที่แฝงตัวมากับอาหาร และพฤติกรรมของเราได้ ภัยเงียบที่ว่านี้คือ “สาร TMAO” สาร TMAO หรือ Trimethylamine N-oxide เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่สร้างขึ้นในร่างกายจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสารตั้งต้นบางชนิด โดยแบคทีเรียในลำไส้ แม้จะไม่เป็นที่รู้จักเท่าสารอาหารอื่นๆ แต่ TMAO ก็มีความสำคัญไม่น้อย เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดส่วนปลาย รู้จักอาหาร สารตั้งต้นของ TMAO อาหารที่เรารับประทานในชีวิตประจำวัน เป็นแหล่งที่มาของสารตั้งต้นของ TMAO ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…