โดยปกติแล้วหากว่าเราไม่ได้ทำอะไร เราจะกินจากหลักการที่ว่า “หิวเมื่อไหร่ และ อยากอะไร” เราก็จะเลือกด้วยหลักการนี้เป็นค่าปกติ เพราะ เราไม่ได้เกณฑ์อื่นเท่าไหร่ในการเลือกอาหารเอามารับประทาน อาจจะมีเพิ่มเงื่อนไขอีกนิดหน่อยจากสภาพปริมาณเงินในกระเป๋าสตางค์ สำหรับเป็นเงื่อนไข Conditional Logic สำหรับการคัดกรอง อาหารอื่นๆออกไป เพื่อให้ตัวเลือกเรามีปริมาณที่จำกัด และ ถ้าหากว่านั่นคือหลักการ (ที่ไม่ได้มีคนกำหนดมาเป็นพิเศษ) เป็นหลักการที่คุณเลือกอาหารอยู่แล้วล่ะก็แปลว่า คุณไม่ได้เลือกด้วยเหตุผลเชิงสุขภาพใดๆ เราเลือกเพราะว่า การตลาดล้วนๆ
เราจะมองว่าอาหารอะไรอร่อยในรัศมี หรือขอบเขตที่เราจัดซื้อมาได้ด้วยความสะดวก และ ง่าย อีกอย่าง มันจะเป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์เราเว้นแต่ว่าเราจะมองอาหารมื้อนั้นให้พิเศษกว่าเดิม เช่น การฉลองความสำเร็จใดๆ โอกาสพิเศษใดๆ เป็นต้น เหตุผลในการเลือกเอาอาหารเข้าปากด้วยหลักการนี้ จะทำให้ตัวเลือกที่โดนยัดเข้าปากคุณนั้นถูกกำหนดโดยนักตลาด และ ผลลัพธ์ของการตลาดและกลศาสตร์ของเศรษฐกิจส่วนบุคคลเป็นสำคัญ โดยไม่ได้สนเลยแม้แต่น้อยว่า อะไรจะก่อให้เกิดโทษหรือคุณกับร่างกายที่มีเพียงหนึ่งเดียวสำหรับภพชาตินี้
การเลือกอาหารตามใจแบบนี้จะนำพามาซึ่งความอ้วนเพราะกินเกินไม่รู้ตัว
อาหารที่เราเห็นโดยปกติ เราจะเห็นได้ว่าร้านอาหารนั้นเน้นไปที่อาหารพลังงานมากเอาไว้แสดงผล เพื่อหลอกล่อให้เราเข้าไปซื้อหา เป็นเนื้อหาทางการตลาดที่คนทำการตลาดนั้นเลี่ยงไม่ได้ เพื่อทำให้คนเราเข้าไปซื้อหาเป็นหลัก อาหารพลังงานเยอะ พลังงานแน่นๆนั้นเป็นอาหารที่ดึงดูดสายตาและความต้องการมากกว่าอาหารที่พลังงานความหนาแน่นน้อยกว่ามาก ลองดูตัวอย่างเช่น หมูบาร์บีคิวที่ติดมันคีบไว้ที่ปลายตะเกียบพร้อมน้ำจิ้มรสหวานติดลิ้นที่ปลายติ่งของแผ่นหมูย่างพอสุก เทียบกับ หมูแห้งๆไร้มันที่ย่างมาสุกทั่วเท่ากันทั้งชิ้นไม่ได้จิ้มน้ำจิ้มอะไรติดมาที่แผ่นหมูสุกแผ่นนั้น ถ้าหากว่าคุณลองสังเกต อรรถาธิบายสำหรับบริบทของภาพทางโฆษณาแบบนี้แล้ว เราจะพบได้ว่า แบบแรก ที่เป็นหมูติดมันราดน้ำจิ้มมาพร้อมรับประทาน มันดูน่ารื่นรมณ์ในการรับประทาน หรือแม้กระทั่งแค่เรามองเราก็เกิดความอยากอาหารได้มากกว่า แบบที่สองเป็นไหนต่อไหนแล้ว นี่เป็นแต่ตัวอย่างง่ายๆอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเห็นว่า อาหารที่มีแนวโน้มติดหวานมันเค็มหรือพลังงานอาหารแบบเข้มข้นนั้นมันดูน่ารับประทานมากกว่าแบบไม่คิดมาก ราวกับกลไกสมองมนุษย์นั้นอยากจะกินอาหารประเภทพลังงานสูงไว้ก่อนเป็นหลักไม่ใช่เพื่อสุขภาพอะไรเพียงแต่เพื่อจะได้รอดพ้นความหิวโหย และสะสมพลังงานในรูปแบบไขมันกองเอาไว้ในตัวเองให้มากเอาไว้ก่อนเป็นดีราวกับว่าอาหารนั้นเป็นสิ่งหายากมากราวกับว่าเป็นยุคโบราณอะไรแบบนั้นเลยก็ว่าได้ …แต่นั่นมันไม่จริงแล้วสำหรับป๊พ.ศ. 2568 เป็นต้นมาหลังเกิดปรากฏการณ์โควิดสิบเก้า เราได้อาหารจากที่ใดก็ได้ เรียกมาเมื่อใดก็ได้ จากร้านอาหารทุกร้านที่พร้อมให้บริการส่งถึงโซฟาโดยเพียงแค่คุณไม่ต้องเอ่ยปากปริปราย หรือใช้สมองอันน้อยนิดประเมินเลือกสรรเลยว่าเราจะเอาอาหารอะไรตอนไหน เพราะ มันมีแอพสำหรับการเรียกอาหารมาเข้าปากแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ราวกับว่าเพียงแค่นึกคิดอาหารก็ปรากฏตรงหน้าเพื่อให้รับประทานได้อย่างอิ่มหมีพีมัน ราวกับนี่ความสวรรค์โลก ที่เคยได้ยินว่าแค่คิดก็อิ่มได้แล้วอะไรทำนองนั้นเลยทีเดียว
แนวทางที่ดีกว่าเพื่อการเลือกอาหารเข้าปาก
ดังนั้นแล้วถ้าหากว่าคุณไม่มีตรรกะอื่นสำหรับการเลือกอาหรเข้าปาก เราแนะนำให้คุณหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกอาหารเพื่อทำให้ผอมเป็นแนวทางสำหรับการเลือกอาหารด้วยเหตุผลหลัก คือ มันจะทำให้คุณสุขภาพดีขึ้นได้ อย่างน้อยที่สุด มันก็หลึกเลี่ยงอาการอ้วนได้ในที่สุด คุณสามารถหาวิธีการเลือกอาหารเพื่อลดน้ำหนักได้มากมายผ่านการค้นหาในอินเตอร์เน็ต และ Youtube ก็มีเนื้อหาประเภทนี้ออกจะมากมายให้คุณเข้าใจได้ลึกมากๆ ลึกมากกว่าที่จะเอามาพิมพ์เอาไว้ได้ทั้งหมด เนื้อความนี้ต้องการแค่บอกว่าอย่าไม่เลือกกิน เราเลือกด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่เหมาะสมจะทำให้อายุยาวและมีสุขภาพทีดีกว่าได้ และ หลีกเลี่ยงอาการอ้วนลงพุงได้ด้วย
