rackmanagerpro.com

ควบคุมความดันโลหิตและสุขภาพหัวใจ: มองร่างกายเหมือนระบบปั๊มน้ำในบ้าน

the house can use water just like the pump as the heart of the body

the house can use water just like the pump as the heart of the body

สวัสดีครับ วันนี้อยากจะมาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับสุขภาพตัวเอง โดยเฉพาะเรื่อง ความดันโลหิต (Blood Pressure) ที่ผมพบว่ามีปัญหาเล็กน้อย ค่าของผมสูงกว่ามาตรฐานเล็กน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลย ! 

ค่าความดันโลหิตที่เหมาะสมคือเท่าไรกันแน่ ? 

สำหรับคนทั่วไปไม่ว่าอายุเท่าใดก็ตาม (ย้ำอีกครั้งว่า สำหรับทุกอายุ ! ไม่ได้คิดแบบคนสมัยก่อนแล้วว่า ถ้าหากว่าอายุเยอะแล้วต้องยอมรับสภาพเป็นพร้อมจะมีความดันเลือดที่สูงขึ้น มันไม่ได้จริงอีกต่อไป) ที่ไม่มีความเสี่ยงด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด ค่าเป้าหมายคือ ไม่เกิน 120/80 มิลลิเมตรปรอท โดย

ถ้าหากว่าสังเกต เราจะพบว่า ความดันมีแนวโน้มลดลงตามกราฟของน้ำหนักด้วยเช่นเดียวกัน

 

เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการวัดคือ ตอนเช้า หลังตื่นนอน เพราะสะท้อนค่าที่แท้จริง ไม่ควรเอาค่าที่วัดจากเวลาอื่นมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ 120/80

แม้บางแหล่งข้อมูลหรือคุณหมอจะบอกว่าคนสูงอายุสามารถมีค่าความดันสูงกว่านี้เล็กน้อย (เช่น 130) ได้ แต่ถ้ามองในมุมของการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) จริงๆ แล้ว การรักษาค่าให้อยู่ต่ำกว่า 120/80 คือเป้าหมายที่ดีที่สุด

 

 

ทำไมต้องเข้มงวดกับความดัน

เพราะว่าโรคกลุ่ม CVD เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย มากถึง 76% ของการเสียชีวิตทั้งหมดในปี 2025 ดังนั้นถ้าควบคุมความดันและสารเคมีในเลือดได้ ก็สามารถลดความเสี่ยงการเสียชีวิตไปได้กว่า 80% ซึ่งหมายความว่าคุณเหลือแค่ความเสี่ยงจากสาเหตุอื่นๆ เพียง 1 ใน 5 เท่านั้น

เป้าหมายสุขภาพระยะยาว

สิ่งที่ผมโฟกัสคือการควบคุมสุขภาพในภาพรวม 4 เรื่องใหญ่

  1. ความดันโลหิต – ให้คงที่และอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่า 120/80
  2. ระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ย (AUC ของกราฟน้ำตาล) – เพื่อป้องกันเบาหวานและผลกระทบต่อหลอดเลือด
  3. CAC Score – ค่าที่ตรวจดูคราบพลัค (plaque) ในหลอดเลือด ควรตรวจทุกๆ 5 ปี
  4. ไขมันในเลือด (Lipid Profile) – โดยเฉพาะ LDL ขนาดเล็ก (Small Dense LDL) และอัตราส่วนไขมันที่เหมาะสม

ทั้งหมดนี้คือหัวใจหลักในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาว

การใช้ชีวิตคือกุญแจสำคัญ

โรค CVD ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม แต่เกิดจาก พฤติกรรมการใช้ชีวิต ได้แก่ อาหารที่กิน และการออกกำลังกายในแต่ละสัปดาห์ การควบคุมอาหารจึงเปรียบเสมือนการควบคุมคุณภาพน้ำในท่อน้ำ ถ้าน้ำสะอาด ท่อก็สะอาด ถ้าน้ำเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ท่อก็เสื่อมสภาพเร็วขึ้น

การเปรียบเทียบกับระบบน้ำในบ้าน

เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ผมอยากให้ลองนึกภาพร่างกายเหมือนระบบปั๊มน้ำ

เมื่อเปรียบแบบนี้ คุณจะเห็นชัดว่าทุกอย่างต้องสมดุล ทั้งแรงดัน คุณภาพน้ำ และสภาพท่อ ถ้าปั๊มน้ำทำงานหนักเกินไป หรือท่อมีแรงดันสูงเกินไป ย่อมเกิดการรั่วหรือแตกได้ เช่นเดียวกับหัวใจและหลอดเลือดในร่างกาย

สิ่งที่ควรตรวจเช็กเป็นประจำ

  1. ความดันโลหิต – ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
  2. อัตราการเต้นหัวใจขณะพัก – คนที่ฟิตยิ่งต่ำยิ่งดี
  3. ไขมันและน้ำตาลในเลือด – ตรวจสม่ำเสมอเหมือนการตรวจคุณภาพน้ำในบ้าน
  4. CAC Score – ตรวจหาคราบพลัคอุดตันในหลอดเลือด แม้ไม่สามารถกำจัดได้ แต่ช่วยวางแผนป้องกันได้
  5. อัลตราซาวด์เส้นเลือดคอ – ป้องกันลิ่มเลือดไหลไปอุดสมองซึ่งอาจทำให้เกิดอัมพาตหรือเสียชีวิตทันที
  6. ตรวจหัวใจ (EKG/Echo) – ดูสมรรถภาพหัวใจและการทำงานของห้องหัวใจ
  7. ตรวจหลอดเลือดสมอง – ป้องกันภาวะโป่งพองหรือแตก ซึ่งหากเกิดขึ้น ความเสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่า 50%

ทำไมมันสำคัญกว่าระบบน้ำในบ้าน

ถ้าท่อน้ำในบ้านแตก คุณก็แค่ไม่มีน้ำอาบหรือดื่ม แต่ถ้า หลอดเลือดในร่างกายแตก ผลที่ตามมาคือความตายแบบเฉียบพลัน ดังนั้นการใส่ใจควบคุมความดันและคุณภาพเลือดจึงเป็นเรื่องที่ “คุ้มค่าที่สุด” สำหรับการลงทุนเวลาและความพยายาม

บทสรุป: โรคหัวใจและหลอดเลือดคือภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนไทยเกินกว่าครึ่ง แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการควบคุมความดัน น้ำตาล ไขมัน และตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เหมือนคุณดูแลระบบน้ำในบ้านให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ ความต่างคือระบบน้ำเสียหายยังซ่อมได้ แต่ถ้าระบบเลือดพังลงมาเมื่อไร ผลลัพธ์คือชีวิตที่อาจไม่มีโอกาสแก้ไขอีก

 

Exit mobile version